วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิทานเซน : รสชาติของเกลือ

《盐的味道》

         อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง และเนื่องจากทัศนะคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวล จิตใจไม่เป็นสุข
   
       วันหนึ่ง อาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า “รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?” 



       “เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก
   
       จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า “ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ” ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
   
       อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
       ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
       “ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
       “ไม่มี” ศิษย์ตอบ
   
       อาจารย์เซนได้ฟัจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า “ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”



       ปัญญาเซน : คนเรา หากต้องการใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีความสุข ทุกข์น้อย วิธีการคือต้องลดความทุกข์ เปิดใจให้กว้าง เมตตาต่อตนเอง อดกลั้นต่อผู้อื่น จึงจะมีชีวิตที่สุขสบาย ดำเนินชีวิตด้วยความเยือกเย็น นิ่งสงบ ไม่เร่งร้อน
   
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

มารู้จัก QR Code รหัสลับการตลาดยุคใหม่


QR Code หรือบาร์โค้ด 2 มิติ ในกรอบสี่เหลี่ยมลายเขาวงกตขาวดำ กำลังเข้ายึดทุกพื้นที่ทางการตลาดไปทั่วโลก ไล่ตั้งแต่บนป้ายโฆษณาสินค้า, ป้ายชื่อร้าน, บรรจุภัณฑ์, ป้ายราคา หรือแม้แต่บนนามบัตร 
ยิ่งขยับมาในยุคของบาร์โค้ด 3 มิติ AR (Augmented Reality) ด้วยแล้ว ทุกอย่างถูกใช้เป็นสื่อโฆษณาได้ ทั้งตัวอาคาร ถนนหนทาง ซึ่งให้ข้อมูลได้มหาศาลกว่า และประยุกต์ใช้ได้หลากหลายจนถูกมองว่าจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกในไม่ช้านี้
ปัจจุบัน QR Code นับเป็นเทรนด์ใหม่ ที่บรรดาเจ้าของสินค้าและบริการทั้งหลายนำมาใช้กันมาก แต่มีคนจำนวนไม่น้อยยังไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจว่าคืออะไร
แต่สำหรับคนที่ใช้บีบี-แบล็คเบอร์รี่จะคุ้นเคยกันดี เพราะการสแกน QR Code เป็นหนึ่งในวิธีแลกพินสำหรับใช้แชตของ สาวกบีบี
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกนิด QR Code คือพัฒนาการของบาร์โค้ดจากมิติเดียว (1D) แบบเดิมที่บรรจุข้อมูลสินค้า และบริการต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แบบแท่ง แนวตั้ง แต่ QR Code เป็น 2D หรือ 2 มิติ เพิ่มมิติในแนวนอนขึ้นมาทำให้บรรจุข้อมูลได้มากขึ้น
QR Code (Quick Respond Code) เป็นชื่อของบาร์โค้ดลักษณะพิเศษ ภายใต้การจดทะเบียนของบริษัท Denso Wave ในฐานะผู้คิดค้นเป็นรายแรกเมื่อ พ.ศ. 2537 ซึ่งอีกชื่อหนึ่งที่บริษัทผู้พัฒนารายอื่นนิยมเรียกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ก็คือ 2D Bar Code (2Dimension Bar Code) หรือบาร์โค้ด 2 มิติ ด้วยรูปร่างสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่ผ่านการเข้ารหัสดิจิตอล สามารถตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็ว ส่วนตัวโค้ดสามารถบรรจุข้อมูลสั้นๆ ไม่เยิ่นเย้อ เช่น เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลผลิตภันฑ์ Web URL ของสินค้า หรือแม้กระทั่งไฟล์เอกสารต่างๆ ได้อย่างสบาย 
ก่อนการใช้งานจะต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นสำหรับอ่าน QR Code ไว้ในตัวเครื่องก่อนจึงจะสามารถสแกนโค้ดได้ ซึ่งการใช้งาน QR Codeในประเทศญี่ปุ่นนั้นแพร่หลายมาก ในทุกๆ ด้านของการใช้ชีวิตคนเมือง และนักการตลาดในญี่ปุ่นยังใช้ QR Code เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำตลาดเวลานี้อีกด้วย
QR ย่อมาจากคำว่า Quick Response มีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมบรรจุข้อมูลต่าง ๆมีการตอบสนองรวดเร็ว ส่วนใหญ่สินค้าหรือบริการต่าง ๆ นำมาใช้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือบรรจุที่อยู่เว็บไซต์เมื่อนำกล้องบนโทรศัพท์มือถือถ่ายไปยัง QR Code ก็จะเข้าสู่เว็บได้ทันที จากเดิมการเข้าเว็บผ่านมือถือมีหลายขั้นตอน และต้องจำที่อยู่เว็บนั้น ๆ ให้ได้
QR Code ยังนำมาประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ นอกจากแสดง URL ของเว็บแล้วยังบรรจุข้อความ, เบอร์โทรศัพท์, ข้อมูลตัวอักษร รวมถึงรูปได้ด้วย
ใครอยากมี QR Code ส่วนตัวเข้าไปสร้างเองได้ผ่านเว็บ www.ais.co.th/qrcode ไม่ได้มีแต่สีขาวดำแบบเดิม แต่เลือกสี, โลโก้ และใส่ รูปตนเองลงไปก็ได้ มีให้เลือกสร้างได้ หลายรูปแบบ เช่น เป็นข้อความ เมื่อใช้ มือถือสแกนจะปรากฏข้อความที่เจ้าของ QR Code ต้องการบอก หรือรูปแบบ SMS หน้าจอจะปรากฎข้อความ SMS ที่ต้องการพร้อมส่งทันที
ถ้าเลือกสร้าง QR Code เป็น “อีเมล์” ก็จะปรากฏหน้า Compose email ขึ้นมาโดยมีแอดเดรสของผู้ส่งไว้แล้ว เจ้าของสินค้านำไปประยุกต์ใช้เพื่อรับฟีดแบ็กจากลูกค้าได้
ล่าสุดเปิดตัวบริการ “AIS QR Code Generator” ให้ลูกค้าสร้าง QR Code ของตัวเองได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ “สุวิทย์ อารยะพงศ์วิไล” ผู้บริหาร เอไอเอสบอกว่า โทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง ดิจิทัลเกือบทุกรุ่นทุกยี่ห้อรองรับการใช้งานได้ โดยเข้าไปโหลดโปรแกรม QR Code Reader ได้ที่ wap.mobilelife.co.th/qr เมื่อติดตั้ง QR Code Reader เรียบร้อยแล้ว เมื่อพบเห็น QR Code แล้วอยากรู้ว่าคืออะไรก็เปิดโปรแกรม ถ่ายรูปสัญลักษณ์ QR Code ระบบ จะแปลงสัญลักษณ์ให้เป็นข้อมูลที่อ่านได้
QR Code Reader ที่ใช้กับมือถือมี 2 ประเภท คือ แบบ real-time ใช้กล้องในโทรศัพท์ส่อง QR Code ได้ทันที และแบบ Snapshot/Capture ต้องเปิดโปรแกรมแล้วถ่ายภาพจากกล้องมือถือ ถ่าย Code ก่อน แล้วประมวล Code ออกมา
“QR Code คือเครื่องมือที่ทำให้คนใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น วันนี้มีเจ้าของสินค้านำไปประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ ข้อจำกัดอยู่ที่จินตนาการ คุณจะคิดไปได้ไกลแค่ไหนเท่านั้นเอง”
WiseKnow.Com : เว็บการตลาดยอดเยี่ยมที่สุดของไทย
WiseKnow.Com : The Best Marketing Knowledge Provider

เปียกยังไง ? ไม่ให้เป็นหวัด


รู้ไหมว่าอวัยวะส่วนไหนที่มีส่วนทำให้เป็นหวัดมากที่สุด ?

ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…

ใบ้ให้อีกนิด มันเป็นอวัยวะที่มีอยู่อันเดียวในร่างกาย…นั่นคือ “จมูก” นั่นเอง

เพราะในจมูกมีเยื่อบุโพรงจมูกที่อ่อนไหวง่าย โดยเฉพาะกับอุณหภูมิภายนอกภายในที่ขึ้น ๆ ลง ๆ รวมไปถึงการสลับร้อน สลับหนาว หรือเดี๋ยวเปียกเดี๋ยวแห้งก็มีผลทั้งสิ้น


ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าจะทำให้อุณหภูมิพื้นผิวของเยื่อบุโพรงจมูกลดลงจากปกติที่ 37 องศาเซลเซียส ไปอีก 1-2 องศา อันเป็นความอบอุ่นที่พอเหมาะที่จะทำให้เชื้อต่าง ๆ ทั้งไวรัสและแบคทีเรียที่แฝงกายอยู่ในโพรงจมูก แบ่งตัวเพิ่มขึ้นและไปโจมตีภูมิคุ้มกันของร่างกายจนพ่ายแพ้

ผลก็คือเยื่อบุโพรงจมูกบวม อักเสบ เป็นที่มาของอาการเป็นหวัด คัดจมูก มีน้ำมูกไหล ดีไม่ดีเชื้อดังกล่าวอาจเดินทางผ่าน ลำคอไปก่อม็อบกันที่กล่องเสียง ทำเลเหมาะที่มีอุณหภูมิเย็นกว่าช่วงลำคอ เป็นสาเหตุของอาการหวัดลงคอนั่นเอง

ในช่วงเทศกาลแห่งความสนุกสนาน สาดน้ำสงกรานต์ น.พ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท มีเทคนิคสู้หวัดมาฝาก

1.ถ้าป่วยอย่าเล่นน้ำ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ

2.ไม่เล่นน้ำในช่วงที่อากาศร้อนจัด หรือเย็นเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นเลือดขยายและหดตัวอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เป็นหวัดหรือปวดศีรษะได้

3.ในช่วงแรก ระวังอกและหลังไม่ให้เปียก เพราะเป็นส่วนที่บอบบางอาจทำให้เป็นไข้ได้ง่าย

4.ระวังไม่ให้บริเวณจมูกเปียก หรือถ้าเปียกให้รีบเช็ดให้แห้ง เป็นการสกัดการเติบโตของไวรัส

5.ถ้าใช้น้ำเย็นจัดอย่างน้ำผสมน้ำแข็งสาด จะทำให้มีโอกาสเป็นหวัดได้มากขึ้น

6.อย่าเล่นน้ำนานหรืออยู่ในผ้าเปียกนานเกินไป ถ้าเป็นเด็ก ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง

7.เลือกเสื้อผ้าที่แห้งง่าย ระบายอากาศได้ดีที่เป็นเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าป่าน ฯลฯ และเลือกเสื้อผ้าสีเข้มที่ช่วยเก็บกักความร้อนได้ดี

8.เมื่อเล่นเสร็จหรือตัวเปียก ควรรีบเช็ดตัว ผม และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แห้งและอบอุ่นทันที

9.ถ้ารองเท้าและถุงเท้าเปียกควรเปลี่ยนด้วย

10.เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ควรนั่งในบริเวณที่อากาศถ่ายเทปกติ ไม่ควรไปนั่งในห้องแอร์ หรือนั่งจ่อพัดลมทันที เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว แล้วดื่มน้ำอุ่น

แค่นี้จมูกของคุณก็ไม่ต้องรับบทหนักแล้ว

9 เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ



1.จิบน้ำบ่อย ๆ  (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี  (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที  (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
          
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9.  ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต


จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ต (Netiquette) ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแทบทุกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในสังคม ไม่ว่าในเรื่อง ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย เสรีภาพของการพูดอ่านเขียน ความซื่อสัตย์ รวมถึงความตระหนักในเรื่องพฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในสังคมอินเทอร์เน็ต ในบทความนี้ผู้เขียนขอทบทวนเรื่อง จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “Netiquette” เพื่อให้เป็นของฝากสำหรับสมาชิกใหม่ที่เรียกกันว่า “Net Newbies” และให้เป็นของแถมเพื่อการทบทวนสำหรับนักท่องเน็ตที่เป็น “ขาประจำ”


Netiquette คืออะไร
Netiquette เป็นคำที่มาจาก “Network Etiquette” หมายถึง จรรยามารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ต หรือ Cyberspace ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยน สื่อสาร และทำกิจกรรมรวมกัน ชุมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอินเทอร์เน็ตนั้น ก็ไม่ต่างจากสังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมีกฎกติกา (Codes of Conduct) เพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการกำกับดูแลพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก


บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น
ถ้าศึกษาค้นคว้าในเรื่อง Netiquette บนเว็บ จะพบการอ้างอิงและกล่าวถึง The Core Rules of Netiquette จากหนังสือเรื่อง “Netiquette” เขียนโดย Virginia Shea ซึ่งเธอได้บัญญัติกฎกติกาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพึงตระหนักและยึดเป็นแนวปฏิบัติ 10 ข้อ ดังนี้

  • Remember the Human
กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”
  • Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันแบบออนไลน์
  • Know where you are in cyberspace
กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ
  • Respect other people’s time and bandwidth
กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด
  • Make yourself look good online
กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง
  • Share expert knowledge
กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
  • Help keep flame wars under control
กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”
  • Respect other people’s privacy
กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่น ไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น หรือ เปิดเผยข้อความอีเมลผู้อื่นโดยพละการ เป็นต้น
  • Don’t abuse your power
กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
  • Be forgiving of other people’s mistakes
กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล



ที่มา : สารานุกรม วิกิพีเดีย

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โพลชี้ "โซเชียลเน็ตเวิร์ก"ครองแชมป์กิจกรรมยอดฮิตมะกันชน


ผลสำรวจเผยกิจกรรมที่ชาวอเมริกันชอบทำมากที่สุดเวลาท่องโลกไซเบอร์ 3 อันดับแรก คือ การเข้าใช้บริการของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ การเล่นเกม และการใช้อีเมล์…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 ส.ค.โดยอ้างผลการสำรวจของ “นีลเซน” บริษัทวิจัยด้านการตลาดชื่อดังที่พบว่าคนอเมริกันมักใช้เวลาของพวกเขาหมดไปกับการใช้บริการของเว็บไซต์ประเภท  “โซเชียลเน็ตเวิร์ก”, การเล่นเกมออนไลน์ และการเช็คอีเมล์มากที่สุดในยามที่พวกเขาต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อท่องโลกไซเบอร์

ผลสำรวจพบว่า การใช้บริการเว็บไซต์ประเภทเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นกิจกรรมที่คนอเมริกันนิยมมากที่สุดเวลาที่พวกเขาท่องอินเทอร์เน็ต โดยคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 22.7 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.8 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การเล่นเกมออนไลน์เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมรองลงมาอยู่ที่ร้อยละ  10.2  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.3 เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น

ขณะที่ อันดับที่ 3 คือ การใช้อีเมล์ ซึ่งรวมทั้งการอ่านอีเมล์ การส่งและรับอีเมล์ ที่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 8.3 ของกิจกรรมบนโลกไซเบอร์ของคนอเมริกัน อย่างไรก็ดี ผลสำรวจพบว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะใช้งานอีเมล์น้อยลงเพราะพวกเขาหันไปใช้บริการของเครือข่ายสังคมออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น จนทำให้ปริมาณการใช้อีเมล์ในสหรัฐฯลดลงถึง 28 เปอร์เซ็นต์ ตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา

ส่วนกิจกรรมบนโลกไซเบอร์ที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดในปีที่ผ่านมาจากสำรวจครั้งนี้ คือ การโฆษณาขายสินค้าและประมูลสินค้าออนไลน์ที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2.7 เท่านั้น

Social Media กับการตลาด SMEs

ดิฉันเชื่อว่า นักการตลาดทั่วไปย่อมทราบดีว่า การโฆษณาและประชาสัมพันธ์มีอิทธิพลต่อการสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค ทำให้กลยุทธ์การตลาดของธุรกิจทุกประเภทต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์และบริการ แม้แต่ธุรกิจขนาดย่อมที่ทราบดีว่า มีงบฯการตลาดค่อนข้างน้อยก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจ

จากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการตลาดมายาวนาน ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสกับกลยุทธ์ต่าง ๆ ของผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ รวมทั้งธุรกิจขนาดย่อมที่ผู้ประกอบการบางท่านบอกว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์เลย แต่ความจริงแล้วเขาได้ลงมือทำไปโดยไม่รู้ตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะการสร้างการรับรู้ด้วยวิธีการดังกล่าวไม่ได้หมายถึง การนำเอาสิ่งดี ๆ ของผลิตภัณฑ์เผยแพร่ทางสื่อสารมวลชนเพียงอย่างเดียว แต่การจัดกิจกรรมการตลาด การทำป้ายโฆษณาริมถนน หรือแม้แต่ใบปลิวที่แจกให้กับกลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ ล้วนแต่เป็นการลงทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์ธุรกิจไปเรียบร้อยแล้ว

ไหน ๆ ก็ต้องเน้นเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ดิฉันคิดว่าจากนี้ไปผู้ประกอบการที่ต้องการประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคจะต้องเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของธุรกิจ ต่อไปอีกก้าวหนึ่งในลักษณะของ Social Media แปลกันตรง ๆ ก็คือ “สื่อสังคม” ซึ่งจะมีบทบาทต่อการทำการตลาดในปัจจุบันค่อนข้างสูง และเชื่อว่าในอนาคตนั้นสื่อดังกล่าวจะมีอิทธิพลต่อการสร้างแบรนด์ไม่น้อยไปกว่าสื่ออื่น ๆ เลย


หากติดตามอ่านคอลัมน์นี้อย่างต่อเนื่องคงจำได้ว่า ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่อง Social Network หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งเป็นรูปแบบและวิถีของผู้คนที่สามารถทำความรู้จักและเชื่อมโยงกันในโลกออนไลน์เช่นเดียวกัน Social Media ก็จะทำหน้าที่คล้าย ๆ กัน กล่าวคือสื่อสังคมจะเป็นรูปแบบการสื่อสารที่มุ่งสร้างความสัมพันธ์ในเครือข่ายทางสังคม เนื่องจากผู้คนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ต่าง ๆ มักมีวิถีการดำเนินชีวิตแบบสังคม จะเล็กหรือใหญ่แตกต่างกันไป แน่นอนว่าในแต่ละช่วงเวลาสมาชิกของสังคมจะมีโอกาสในการถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ ตามความสนใจอื่น ๆ

หากธุรกิจใดก็ตามที่สามารถสร้างความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ แล้วมุ่งนำเสนอในลักษณะของ Social Media คนในสังคมต่าง ๆ จะทำหน้าที่เป็นสื่อที่ทรงพลัง เพราะนอกจากจะเป็น Talk of the Town แล้ว การแสดงความคิดในแง่มุมต่าง ๆ จะกลายเป็นรูปแบบที่โดดเด่นของการสร้างการรับรู้ในที่สุด

หากสินค้าและบริการต่าง ๆ มุ่งพัฒนาด้านคุณภาพควบคู่ไปกับกิจกรรมการเข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะทำให้สื่อสังคมทำหน้าที่บอกต่อในลักษณะปากต่อปากแล้ว การดำรงชีวิตของผู้คนในยุคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลของ Social Network จะทำให้สื่อสังคมนั้นทำหน้าที่บอกต่อผ่านโลกออนไลน์ จึงทำให้ทั้ง Social Network และ Social Media มีความสัมพันธ์กันอย่างชนิดที่เรียกว่า แยกกันไม่ได้เลย

เมื่อทั้ง 2 ปัจจัยมีอิทธิพลต่อธุรกิจ ดิฉันจึงมั่นใจว่า นักการตลาดและนักประชาสัมพันธ์จะต้องเตรียมรับมือกับกลยุทธ์การสื่อสารในรูปแบบดังกล่าว อย่าลืมว่าจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสรับข้อมูลข่าวสารทางเว็บไซต์ หรือทางโทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น และเมื่อใดก็ตามที่สื่อสิ่งพิมพ์มีคนอ่านน้อยลง การโฆษณาประชาสัมพันธ์จะได้ผลต่อไปอีกหรือไม่ ? คือสิ่งที่นักการตลาดจะต้องศึกษาอย่างเร่งด่วน

สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงต่อจากนี้ไปก็คือ กลยุทธ์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ต้องมีการผสมผสานระหว่างสื่อสารมวลชนแขนงต่าง ๆ กับสื่อรูปแบบใหม่ ๆ อย่างกลมกลืน เนื่องจาก Social Media เป็นสื่อที่ใกล้ตัวและผู้บริโภคไม่ต้องลงทุนซื้อแต่อย่างใด จึงน่าจะมีประสิทธิภาพสูงในการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ของธุรกิจ และมีความเป็นไปได้สูงที่สื่ออื่น ๆ จะมียอดซื้อพื้นที่โฆษณาลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ !

คลิปวิดีโอ Social Media, the Next Wave of Business


แฉด้านมืด โซเชียลเน็ตเวิร์ก


โซเชียล เน็ตเวิร์กไทยอันตรายแบบไม่รู้ตัว
      
เหรียญด้านมืดกำลังบ่มเพาะรอวันโจมตี
      
ผู้ใช้เครือข่ายสังคมยังหลงระเริงเล่นเพลินไม่ระวัง
      
อาชญากรไซเบอร์กลายเป็นฆาตกรมาแล้วในต่างประเทศ

       กระแสโซเชียล เน็ตเวิร์ก หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เฟื่องฟูอย่างมากในประเทศไทยขณะนี้ ยังคงมีแนวโน้มความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะคนไทยที่แห่ใช้งานเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ก็มีทะลุ 4 ล้านรายไปแล้ว และหากนับเฉพาะเฟซบุ๊กอย่างเดียวก็มีมากกว่า 3 ล้านราย
      
       อย่างไรก็ตาม การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กในเมืองไทยขณะนี้เมื่อเทียบกับต่างประเทศ อย่างในอเมริกาหรือยุโรปแล้ว โซเชียล เน็ตเวิร์กไทยเสมือนแค่ยุคเริ่มต้นเท่านั้น ต่างกับในประเทศที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมานานแล้ว การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กจะอยู่ในยุคที่พูดถึงเรื่องซีเคียวริตี้เป็นหลัก
      
       แน่นอนว่าวันนี้ผู้ใช้ในประเทศไทยเห็นถึงประโยชน์การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์ก แต่กลับมีคนที่รู้จักภัยที่อาจจะมาพร้อมกับการใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
      
       ’การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กที่แพร่หลาย พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่เป็นนักเรียน นักศึกษามีเพียง 4 ใน 100 คนที่รู้ด้านลบของการใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ก และรู้ว่าต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง’
      
       เป็นคำกล่าวของ ปริญญา หอมเอนก นักวิชาการและกรรมการและเลขานุการ สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ
      
       ปริญญา มองว่า กระแสโซเชียล เน็ตเวิร์กที่มาแรงมากๆ เป็นยุคที่ผู้ใช้เป็นคนสร้างคอนเทนต์เอง ต่างจากอดีตที่เว็บมาสเตอร์เป็นผู้ดูแล แต่การเล่นโซเชียล เน็ตเวิร์กกำลังกลายเป็นดาบสองคม ถ้าใช้ไม่ระวังก็จะเป็นภัยกับตัวเอง รวมทั้งองค์กร โดยเฉพาะการทวิตหรือโพสต์ข้อมูลที่อาจเป็นช่องโหว่ให้อาชญากรไซเบอร์ใช้เป็นข้อมูลในการคุกคามผู้ใช้ได้ง่ายๆ
      
       ในมุมมองของ ไชยกร อภิวัฒโนกุล Chief Security Officer PTT ICT Solutions Company Limited ได้ยกตัวอย่างภัยร้ายด้านมืดของโซเชียล เน็ตเวิร์กในต่างประเทศถึงขั้นเกิดการฆาตกรรมกันมาแล้ว โดยสิ่งที่ผู้ใช้โซเชียล เน็ตเวิร์กให้ข้อมูลไว้บนเว็บต่างๆ เหล่านั้น หรือการโพสต์ภาพต่างๆ โดยไม่ระมัดระวัง ทำให้อาชญากรไซเบอร์สามารถจิ๊กซอว์และสืบหาข้อมูลนำไปสู่การติดตามตัวคนหนึ่งคนใดจากโลกไซเบอร์ไปสู่การติดตามและทำร้ายในโลกจริงได้
      
       ’วันนี้บรรดานักเรียน นักศึกษาไม่ระวังภาพที่โพสต์ให้เพื่อนๆ ดู ซึ่งบางภาพอาจล่อแหลม จนทำให้ผู้ไม่หวังดีติดตามตัวผู้นั้นเพื่อทำสิ่งไม่ดีต่อไปได้’
      
       ยิ่งทุกวันนี้อาชญากรในโลกไซเบอร์มีความเก่งมากขึ้น การที่จะเข้าไปลวงข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของเป้าหมายในเครือข่ายสังคมก็ทำได้ง่าย เนื่องจากผู้ใช้โซเชียล เน็ตเวิร์กไม่ระวังตนเองและป้องกันการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของรหัสส่วนตัวที่กลายเป็นเรื่องง่ายที่ผู้ไม่หวังดีสามารถสืบเสาะได้ง่าย
      
       ’ขนาดประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐฯ ยังโดนแฮกเฟซบุ๊กมาแล้ว’
      
       ด้าน ปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) มองถึงประเด็นนี้ว่าขณะนี้การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กได้เริ่มย้อนกลับมาทำร้ายผู้ใช้กันแล้ว จึงควรให้ความสำคัญถึงการป้องกันการใช้งานเครือข่ายสังคมให้มากขึ้น เพราะทุกคนรู้แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากโซเชียล เน็ตเวิร์ก
      
       ส่วน เมธา สุวรรณสาร อุปนายกสมาคมความมั่นคงความปลอดภัยระบบสารสนเทศ กล่าวว่าสิ่งจำเป็นที่สุดของการใช้สื่อบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้จำเป็นต้องตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการใช้ข้อมูล ซึ่งควรต้องรู้ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของเครื่องมือที่ใช้งาน โดยเฉพาะการใช้โซเชียล เน็ตเวิร์กในองค์กรมีโอกาสที่ข้อมูลสำคัญจะหลุดออกไปได้ง่าย
      
       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลในต่างประเทศ อย่างสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยสูงมาก โดยกำหนดเป็นนโยบายที่มีผลต่อการบริหารจัดการประเทศ รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระดับองค์กร เพราะเชื่อว่าข้อมูลสำคัญที่หลุดออกไปนอกองค์กรอาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้
      
       ปริญญา แนะว่า รัฐบาลไทยควรต้องเร่งจัดตั้งหน่วยงาน ‘ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์แห่งชาติ หรือเนชั่นนัล ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ ให้เป็นหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลความปลอดภัยและการใช้งานบนโลกไซเบอร์ทั้งหมด เนื่องจากประเทศอื่นๆ มีการจัดตั้งหน่วยงานเช่นนี้แล้วทั้งนั้น ซึ่งถ้าในประเทศไทยมีหน่วยงานด้านนี้โดยเฉพาะจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจวางนโยบายป้องกันต่างๆ ของประเทศชาติต่อไป
      
       ทั้งนี้ รัฐบาลจะสามารถเร่งผลักดันการออกประกาศกฎกระทรวงเพื่อบังคับใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะมาตรา 35 ซึ่งเน้นการทำธุรกรรมทางออนไลน์ของภาครัฐให้อยู่ภายใต้มาตรฐานหรือทิศทางเดียวกัน และมาตรา 25 บังคับให้หน่วยงานรัฐและเอกชนต้องทำมาตรฐาน ISO27001 หรือมาตรฐาน ISO27001:2005 ที่เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ
      
       ’สถานการณ์ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ของไทยอยู่ในขั้นเริ่มต้น ไม่มีมาตรการหรือข้อบังคับทางกฎหมายที่เข้มงวด จึงเป็นช่องโหว่ให้เกิดการโจมตีและก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน จึงควรมีการเอาจริงเอาจังนับจากนี้เป็นต้นไป’ ปริญญา
กล่าว


       มองด้านบวก
       โซเชียลเน็ตเวิร์ก

      
       เหรียญมีสองด้าน โซเชียล เน็ตเวิร์กก็เช่นกัน ย่อมมีทั้งด้านบวกและด้านลบ แต่วันนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่านับวันกระแสของโซเชียล เน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ ไฮไฟว์ และอีกหลายร้อยหลายพันเว็บไซต์ ได้พุ่งทะยานแบบฉุดรั้งอย่างไรก็ไม่อยู่แล้ว เนื่องจากประโยชน์ของมันนั่นเอง
      
       ด้านบวกของโซเชียล เน็ตเวิร์กจึงมีอย่างมากมาย และกลายเป็นมีเดียที่กลบทุกมีเดียแบบเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะวันนี้ ‘โซเชียล มีเดีย’ ต้องขยับและปรับตัวตามกันแทบไม่ทัน
      
       ยิ่งวันนี้ โซเชียล มีเดียได้กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลทั้งต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนทั่วไป สังคม และนักการตลาด โซเชียล มีเดีย ได้กลายเป็นช่องทางการทำตลาดของบรรดาแบรนด์ดังๆ ระดับโลกมากยิ่งขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นคือนักการตลาดกระโจนเข้ามาสู่โซเชียล มีเดียกันมากขึ้น โดยแทบไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงิน สิ่งที่นักการตลาด หรือเจ้าของแบรนด์จะลงทุนอย่างเดียว คือ การจ่ายเพื่อคอนเทนต์ หมายความว่า จะต้องมีการสร้างคอนเทนต์ให้คนเข้ามาติดตาม และเข้ามามีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด
      
       คอนเทนต์ ณ วันนี้ คือ เทรนด์ของการทำการตลาดผ่านโซเชียล มีเดีย ตามกระแสของโลก ที่แต่ละแบรนด์สินค้า และบริการจะแข่งขันกันอย่างสูงเพื่อทำคอนเทนต์ให้ดึงดูดใจ เพื่อเป็นช่องทางที่จะเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
      
       ทั้งนี้ ปัจจัย 4 อย่าง ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จในการทำการตลาดผ่านทางโซเชียล มีเดีย ได้แก่ การมีคอนเทนต์ที่ดี (Content) การโต้ตอบกับกลุ่มลูกค้าได้ตลอดเวลา (Conversation) การสร้างให้เกิดคอมมูนิตี้ (Community) และความร่วมมือกันในคอมมูนิตี้ เพื่อนำไปสู่การสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับแบรนด์สินค้าต่างๆ (collaboration & co-creation)
      
       สิ่งหนึ่งที่ ‘โซเชียล มีเดีย’ กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลบนอินเทอร์เน็ต ปัจจัยหนุนสำคัญคือ บรรดาผู้รับข่าวสารทั่วโลกมักใช้เวลาบนอินเทอร์เน็ตมากกว่าสื่อเดิมๆ แบบไม่เห็นฝุ่น และพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เขาใช้บนอินเทอร์เน็ตก็จะเป็นพื้นที่ของเว็บประเภทโซเชียล มีเดีย
      
       เห็นได้จากข้อมูลปัจจุบัน วัยรุ่นอเมริกันมักใช้เวลาไปกับสื่ออินเทอร์เน็ตมากกว่าสื่อทีวี นั่นทำให้หลายแบรนด์สินค้า และบริการระดับโลกต่างกระโจนเข้าหาสื่อออนไลน์กันเป็นว่าเล่น ไม่เว้นแม้แต่สื่อดั้งเดิม ทั้งทีวี วิทยุ โทรทัศน์ แม้แต่หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารต่างๆ ก็เกิดการหลอมรวมของสื่อเพื่อต้องการให้ข่าวสารที่ส่งไปสู่ผู้รับสารสามารถมีช่องทางกระจายข่าวให้ได้มากที่สุด
      
       ด้านบวกของโซเชียล เน็ตเวิร์กจึงยิ่งฉายแสงอันเจิดจ้าและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ จึงต้องอยู่ที่ผู้ใช้งานว่าจะนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษได้อย่างไร

Do & Don’t เคล็ดลับการตลาดบน Twitter




DO : ควรทำบนทวิตเตอร์

- กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
- หา Follower ชุดแรกจากรายชื่อในฐานข้อมูลลูกค้าเดิม คนในองค์กร เพื่อนๆ ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
- วิธีหาสมาชิกใหม่ๆ จึงควรให้มาจากการรู้จักเองของผู้ใช้ผ่านการ Retweet ข้อความของคนอื่นๆ ซึ่งทางบริษัทอาจจะทำเป็นเกมชิงรางวัลให้สมาชิกเดิมส่งต่อข้อความที่กำหนด เป็นการยืมมือสมาชิกเดิมดึงสมาชิกใหม่ที่สนใจให้เข้ามา Follow เอง
- หากมีสื่อเก่าอย่าง ทีวี นิตยสาร ให้ลงที่อยู่ทวิตเตอร์ลงไปด้วย จะเพิ่ม Follower ได้รวดเร็วมาก
- หา Follower ใหม่ๆ ไปพร้อมกับดูแล Follower เดิมๆ
- เขียน Profile บริษัทหรือแบรนด์ลงไปในหน้า “Setting” เพื่อยืนยันว่าเป็นตัวจริงเสียงจริง
- คิดแบบสร้าง Engagement หรือความผูกพันระยะยาว ให้ Follower อยากเข้ามาตามอ่านบ่อยๆ
- กระตุ้นให้ผู้อ่านส่ง Feedback ส่งคำถามและข้อคิดเห็นมา
- ตอบกลับให้ครบทุกคำถามที่เข้ามา
- ถ้าเป็นไปได้ พยายามจำชื่อเล่น/ชื่อจริงของทุกคนบนทวิตเตอร์ให้ได้ และทักทายกลับไปบ้างในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ
- ลงข่าวสารธุรกิจหรือแบรนด์แบบที่ให้ผู้อ่านได้ความรู้ หรือได้ประโยชน์
- ลงคำคมที่เกี่ยวพันอ้อมๆ กับแบรนด์หรือสินค้าบ้าง เพื่อให้มีผู้ RT ส่งต่อ
- ลงหัวข่าวดังข่าวร้อนที่เกี่ยวพันอ้อมๆ กับแบรนด์หรือสินค้าบ้าง เพื่อให้มีผู้ RT ส่งต่อ
- แสดงความคิดเห็นบ้าง เพื่อให้ดูเป็นมนุษย์ และใกล้ชิดผู้อ่านมากขึ้น แต่ต้องเป็นความเห็นที่เหมาะสมกับสถานการณ์และไม่ก่อความขัดแย้งเกินไป
- เปิดประเด็นให้คนอยากเล่าเรื่องของตัวเองตอบกลับมา หรือส่งต่อเป็นคำถามไปหาเพื่อนๆของเขาต่อไปได้เรื่อยๆ เพื่อ Emotional Branding
- กระตุ้นให้ผู้อ่านส่งต่อข้อความของเราออกไปสู่คนอื่นๆ โดยการ Re-Tweet หรือที่เรียกย่อๆ ว่า RT
- ในข้อความที่ให้ผู้อ่านช่วย RT นั้น ควรต้องมี Key Message หรือชื่อสินค้า อยู่หลังเครื่องหมาย # ที่เรียกว่า Hashtag ให้สะดวกต่อการตรวจนับเพื่อแจกรางวัลและได้อยู่อันดับดีๆ ในผลเสิร์ชภายใน Twitter
- ในข้อความที่จะให้ผู้อ่านช่วย RT นั้น ควรมี Link ไปที่เว็บของแบรนด์หรือบริษัทด้วย
- ลงรูปประกอบข้อความด้วยทุกครั้งถ้ามี โดยฝากรูปไว้ที่ twitpic.com และนำลิงค์มาใส่ในข้อความ
- เมื่อจัดงานอีเวนต์ ให้ลงรูปหมู่ของกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย ให้นำรูปลงเฟซบุ๊ก แล้วกระตุ้นให้ทุกคนในรูป Tag ตัวเอง เพราะจะทำให้รูปของกิจกรรมนั้นๆ แปะในอัลบั้มของทุกคนในรูป ทำให้เพื่อนๆ ของกลุ่มคนเหล่านี้เห็น เกิดการแพร่กระจายออกไป
- สอดแทรกลิงค์ไปยัง facebook.com, youtube.com เพื่อเสริมในจุดอ่อนของทวิตเตอร์ที่ลงรูปลงคลิปไม่ได้ และผู้อ่านของเรายากที่จะพูดคุยกันเอง
- หากจะทวีตหากลุ่มวัยรุ่นให้ทวีตได้ตั้งแต่เย็นๆ ถึงดึก
- แต่หากจะทวีตถึงคนทำงานออฟฟิศให้เน้นช่วงหลังพักกลางวันและช่วงเย็นหลังเลิกงานใหม่ๆ ก่อนออกจากออฟฟิศ หรืออีกครั้งก็คือช่วงดึก
- หากมี Follower ที่เป็นนักข่าวสื่อมวลชน ให้คอยส่งข่าวที่ตรงกับความต้องการของสื่อแต่ละรายเป็นพิเศษด้วย
- จัดเกมชิงรางวัล 2 แบบ แบบแรกคือ “มาก่อนได้ก่อน” โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าว่าจะเล่นเมื่อไร ช่วยกระตุ้นให้ Follower หมั่นติดตามทวิตเตอร์ตลอดเวลา
- จัดเกมตั้งเวลารับคำตอบให้นานขึ้น สุ่มแจกรางวัล ช่วยให้ได้รายชื่อและข้อมูลจริงๆ ของ Follower และจูงใจให้มี Follower ใหม่ๆ เข้ามา

DON’T : ข้อห้ามบนทวิตเตอร์


- การหาสมาชิกใหม่ๆ มาเป็น Follower ในทวิตเตอร์นั้น ต้องไม่หว่านส่ง Direct Message ไปชักชวนโดยตรง เพราะมักจะไม่ได้ผลและเสียภาพลักษณ์ถูกมองเป็นนัก Spam ที่น่ารำคาญคล้ายจดหมายขยะ และไม่ได้ก่อให้เกิดสมาชิกใหม่เท่าไรนัก
- อย่าลงคำโฆษณาตรงๆ ต้องพูดภาษาแบบคนทั่วไปคุยกัน ดูไม่เป็นทางการแต่มีสาระ
- ต้องหลีกเลี่ยงการเป็น “Robot ส่งข่าว” เพราะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าจะนำไปสู่การ “พูดคนเดียว” ความเงียบเหงา และความล้มเหลวอย่างรวดเร็ว
- ต้องจำว่า “You are what you tweet” อย่าทวีตข้อความนอกเรื่อง ไร้สาระ
- อย่าขายของแบบตรงๆ นอกจากว่าจะเป็นโปรโมชั่นที่พิเศษ เป็นผลประโยชน์ของลูกค้าจริงๆ
- อย่าทวีตข้อความในช่วง Primetime เช่นช่วงละครหลังข่าว เพราะจะมีผู้มองเห็นน้อย และไม่ค่อยสนใจคลิกตาม
- อย่าทวีตข้อความบ่อยเกินไป เพราะจะไปรกเกะกะจอของ Follower ทำให้ Follower อาจรำคาญลบเราออกไปได้ อย่างที่ Twitter ของหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวมักจะโดนเลิก Follow

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

'โซเชียลมีเดีย'กำลังเปลี่ยนโฉมการบริโภคข่าวสาร

ตั้งแต่โซเชียลมีเดียเกิดขึ้นมาจนถึงวันนี้ หน้าที่ของมันเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้า เช่นเฟซบุ๊คที่กลายเป็นช่องทางหลักสำหรับการบริโภคข่าวสาร

ปัจจุบันสื่อสังคมหรือโซเชียลมีเดีย (Social Media) เช่นเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคม โดยเฉพาะในการบริโภคข้อมูลข่าวสารเวลาเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง เช่นที่อิหร่านเมื่อปีที่แล้วที่สื่อกระแสหลักถูกรัฐควบคุม ในเมืองไทยเองเหตุการณ์ความรุนแรงช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ถือว่าสื่อ สังคมมีส่วนสำคัญในการนำเสนอข่าวสารซึ่งรวดเร็วกว่าสื่อกระแสหลักเช่นทีวี หรือหนังสือพิมพ์มาก


สื่อสังคมเป็นสื่อที่ใครๆ ก็นำเสนอข่าวได้หรือที่เรียกว่าผู้สื่อข่าวประชาชน ปัญหาของสื่อสังคมคือการที่ใครๆ สามารถนำเสนอข่าวทำให้มีทั้งข่าวเท็จ และข่าวที่เกินจริง นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความแตกแยกมากกว่าสมานฉันท์

ซึ่งธุรกิจบัณฑิตย์โพลทำการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วยการสอบถามโยตรงและทางออนไลน์ พบว่าร้อยละ 42 เชื่อว่าสื่อสังคมช่วยสร้างความแตกแยกในสังคมให้มากขึ้น และร้อยละ 30 เชื่อว่าสื่อสังคมช่วยสร้างความสมานฉันท์

อย่างไรก็ตามร้อยละ 56 ไม่แนใจว่าข่าวจากสื่อสังคมเป็นข่าวลวงหรือจริงมากกว่ากัน และส่วนใหญ่(ร้อยละ 26) ให้ความเชื่อถือข่าวเพียงครึ่งเดียวจากสื่อสังคม

นายนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ ผู้สื่อข่าวจากเนชั่นแชนแนล หนึ่งในผู้ที่ใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อข่าวและมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากกล่าวถึง เรื่องนี้ว่าต้องดูก่อนว่าสังคมมันแตกแยกอยู่แล้วหรือไม่ บทบาทของสื่อสังคมในช่วงวิกฤตทางการเมือง เป็นหมือนทั้งพระเอกและผู้ร้ายพร้อมๆ กัน ขึ้นกับคนฟังมากกว่า เพราะข่าวเดียวกันมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ถ้าเป็นข่าวที่คนนั้นชอบ นักข่าวก็จะกลายเป็นพระเอก  ในทางกลับกันหากเป็นข่าวที่คนนั้นไม่ชอบ นักข่าวก็จะกลายเป็นผู้ร้าย

“สื่อเองก็ต้องทบทวนบทบาทตนเองบ่อยๆ” นายนภพัฒน์จักษ์กล่าวและว่า “บางทีเรากดข่าวที่แรงเกินไป ก็กลับมีคนมาบอกว่าในฐานะสื่อต้องแสดงออกมาหมด”

นายนภพัฒน์จักษ์กล่าวว่าหน้าที่ของสื่อคือต้องนำเสนอแต่ความจริง ต้องสื่อให้มากที่สุด ต้องยอมรับว่าในบางสถานการณ์นักข่าวสามารถเปลี่ยนมุมมองของข่าวได้ แต่ข้อดีของทวิตเตอร์คือการรวมตัวกันของผู้ติดตามและคนที่ติดตามเหล่านี้จะ เป็นตัวกรองข่าวที่ดี เพราะจะคอยเช็กได้เวลานักข่าวเขียนผิด คนที่รายงานข่าวเท็จบ่อยๆ ความน่าเชื่อถือจะลดลงไปเอง สรุปแล้วสามารถกรองข่าวในระดับหนึ่งด้วยจำนวนคน

“ถ้าหากผมยังไม่มีคนเชื่อถือเหมือนตอนนี้ คนอื่นจะมากรอง การเป็นนักข่าวก็ต้องกรองเองอยู่แล้ว เช่นเราจะไม่บอกว่าระเบิดเอ็ม79 ลง บอกแค่ว่าเสียงระเบิดเหมือนเอ็ม 79” นายนภพัฒน์จักษ์กล่าว
นายนภพัฒน์จักษ์กล่าวว่าในการรายงานข่าวจะต้องเขียนให้อารมณ์ความรู้สึก น้อยกว่าอารมณ์จริง ตนเคยทำผิดพลาดที่เหตุปะทะที่ตลาดไท ตนได้ยินตำรวจคนหนึ่งบอกว่าสะใจที่ทหารตายเลยอัดวีดีโอแล้วนำไปเผยแพร่ ปรากฏว่าคลิปนั้นสร้างอารมณ์ให้คนรับข่าวมากเกินไป บางคนบอกมันเป็นใครจะไปจัดการ สุดท้ายก็เอาคคลิปนั้นออกไป ตอนนี้ทางเนชั่นกำลังร่างจริยธรรมการใช้สื่อสังคมในการเสนอข่าว

“บางคนไม่คิดจะกรองข่าวเลย ไปตัดต่อคลิปแล้วก็เผยแพร่ คือจะหลอกลวง ของเราถึงไม่ได้ตัดต่อก็ต้องกรองออกอยู่ดี เช่นมันจะเป็นการละเมิดคนอื่นหรือไม่” นายนภพัฒน์จักษ์กล่าว

ส่วนการเอาผิดคนปล่อยเรื่องเท็จนายนภพัฒน์กล่าวว่าจะเป็นเรื่องลำบากมากเพราะ ในสื่อสังคมมีทั้งคนจริงเช่นสิทธิชัย หยุ่น และคนปลอม

ส่วนนายพงศ์พัฒน์ เกิดอินทร์ ตัวแทนของกลุ่ม ทวิตเตอร์ฟอร์ไทยแลนด์ (Twitter for Thailand) กล่าวว่า เชื่อว่าสื่อสังคมสามารถสร้างความสมานฉันท์ได้ ตัวทวิตเตอร์เองมีพลังเยอะมาก เช่นตอนวันเฉลิมพระชนม์พรรษา คำว่า We Love King กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกในทวิตเตอร์ ทั้งที่คนไทยที่เล่นทวิตเตอร์เป็นส่วนน้อยมากของประชากรทวิตเตอร์ทั้งโลก

กลุ่มทวิตเตอร์ฟอร์ไทยแลนด์เป็นการรวมกลุ่มกันของคนที่ทำสิ่งดีๆ เพื่อชาติเพื่อสังคม เคยมีการนัดพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางเพื่อเตรียมทำกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ

อย่างไรก็ตามนายพงศ์พัฒน์กล่าวว่า สื่อสังคมคงไม่ยิ่งใหญ่ขนาดทำให้เกิดการสมานฉันท์ แต่สื่อสังคมสามารถช่วยให้เกิดการสมานฉันท์ได้ ทวิตเตอร์ดีตรงที่รวมตัวหรือความเห็นได้รวดเร็วมาก ถ้ารวมตัวทำดีก็สามารถทำดีได้มหาศาล เช่นโครงการ “รัก ณ สยาม” ที่ศิลปินนักร้องจัดคอนเซิร์ตการกุศลเพื่อช่วยเหลือร้ายค้ารายย่อยย่านสยาม แสควร์


ในเรื่องบทบาทของสื่อสังคมในช่วงวิกฤตการเมือง นายพงศ์พัฒน์กล่าวว่าเรื่องนี้ต้องมองรอบด้าน เพราะถึงแม้ทวิตเตอร์จะมีพลังมากแต่บางครั้งข่าวที่ส่งกันก็เชื่อถือได้แค่ ครึ่งเดียว ซึ่งตนก็จะไม่ส่งต่อไปเพราะไม่อยากให้เกิดความไม่แน่นอน

ในการสำรวจของธุรกิจบัณฑิตย์โพลระบุอีกว่าผู้ตอบแบบสอบถามติดตามเรื่อง ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับนปช. ผ่านเฟซบุ๊คมากที่สุดถึงร้อยละ 39 รองลงมาคือยูทูบร้อยละ16และไฟว์ร้อยละ 15 อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสอบถามก็ยังรับข่าวสารจากสื่อกระแสหลักอยู่และร้อยละ 72 ของผู้ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์ชื่อว่าสื่อสังคมถูกกลุ่มบุคคลใช้เป็นเครื่อง มือแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง

“อนาคตสื่อสังคมจะขยายขึ้นอีกแต่คงไม่สามารถแทนที่สื่อกระแสหลัก เพราะข่าวในสื่อสังคมส่วนใหญ่มาจากสื่อกระแสหลักอีกที เช่นวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์อีกที แต่สื่อสังคมทำให้เราเลือกที่จะรับข่าวสารได้ และมีการแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น” นายพงศ์พัฒน์กล่าว

ในเรื่องการควบคุมเนื้อหาในสื่อสังคมนายพงศ์พัฒน์กล่าวว่ากรณีที่มีการทำ ผิดพลาดแล้วออกมายอมรับก็มีอยู่ ในกลุ่มทวิตเตอร์ฟอร์ไทยแลนด์ก็เคยคิดกันเรื่องการเซ็นเซอร์ แต่เห็นว่าคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะทวิตเตอร์เป็นสิ่งที่เสรีมากและไม่มีผู้ทำหน้าที่กรองเนื้อหา  บางครั้งอาจมีการตัดต่อปลอมแปลงข้อความก่อนส่งต่อ การตรวจที่มาที่ไปของสารจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนรับสาร

ผศ.ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ ผู้อำนวยการนิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่าสื่อสังคมเป็นได้ทั้งผู้ร้ายและพระเอกเช่นเป็นผู้ร้ายหากใช้โฆษนา ชวนเชื่อ บางคนบอกว่าสื่อสังคมเป็นผู้กำกับเช่นกลุ่มเฟซบุ๊คที่เรียกร้องให้ยุบและไม่ ยุบสภา พวกเว็บบอร์ดที่กลายเป็นเครื่องมือก็มีเยอะ เพราะเว็บบอร์ดมีกลุ่มคนอยู่แล้ว การเอาเรื่องเข้ามาปลุกปั่นก็จะง่าย ที่สำคัญผู้บริโภคต้องเท่าทันสื่อ เพราะเดี๋ยวนี้มีการใช้เฟซบุ๊คในการประชาสัมพันธ์พรรคการเมืองหรือภาพลักษณ์ รัฐบาล สื่อสังคมก็จะตกเป็นเครื่องมือได้

บางครั้งนักข่าวสื่อกระแสหลักก็เอาข่าวจากสื่อสังคมไปนำเสนอโดยไม่ได้ กรอง ซึ่งเรื่องพวกนี้ผู้บริโภคจะต้องคอยระวัง แต่ท้ายทีสุดแล้วสิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับผู้รับสารก่อน ต้องเชื่อว่าผู้ใช้สื่อสังคมเป็นพลังบริสุทธิ์ ต้องเชื่อมั่นในผู้บริโภคและช่วยกันตรวจสอบ การใช้ภาพและภาษาที่จะดึงดูดก็อาจทำให้เกิดการใช้ภาพที่ไม่หมาะสมได้ ดังนั้นสังคมต้องเอาพวกดีเข้ามา และเอาพวกที่ไม่ดีออกไปจากสื่อสังคม

ส่วนเรื่องที่บางคนบอกว่าสื่อสังคมจะเป็นผู้เขียนบทของสังคม ผศ.ดร.กุลทิพย์กล่าวว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะความจริงทุกคนเขียนเองได้ มันเป็นกฎของประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องเป็นผู้ออกแบบสังคมเอง

นายนภพัฒน์จักษ์ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่าคงยาก  ถ้ามองจากบทบาท ณ ปัจจุบันนั้น ตนไม่ได้อยากเป็นผู้เขียนบท แค่เป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค

ในสังคมแตกแยกเล้วจะใช้สื่อเพื่อสร้างความสมานฉันท์อย่างไร มันยากเพราะที่สื่อเสนอความจริง สามเดือนที่ผ่านมาความจริงทำให้เกิดการแตกแยก สื่อก็ลำบาก ต้องระวังเรื่องความเห็น  ตอนจะเริ่มเจรจากันตนถึงกล้าให้ความเห็นว่าการเจรจาเป็นความหวังสูงสุดของ ประเทศ หรือย่างตอนวันที่ 18 มิ.ย. ก่อนการสลายการชุมนุมซึ่งหน้าเวทีมีแต่เด็กและผู้หญิง ตนก็นำเสนอข่าวนี้ไปให้รัฐบาลรู้ว่าสภาวะการณ์เป็นอย่างไร และให้แกนนำรู้ว่าประชาชนทุกคนรู้ว่าเช่นกันว่าที่ชุมนุมเต็มไปด้วยเด็กและ ผู้หญิง

หลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบผ่านพ้นไป ดูเหมือนว่าบทบาทด้านการเมืองของสื่อสังคมก็ค่อยๆ ซาลงเช่นกัน แต่ในอนาคตสื่อสังคมคงจะมีบทบาทในด้านการเมืองเพิ่มขึ้น นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว. กระทรวงไอซีทีเคยออกมากล่าวว่าจะให้สส. และสว. ทุกคนมีทวิตเตอร์ ปัจจุบันนักการเมืองหลายคนใช้เฟซบุ๊คและทวิตเตอร์เช่นนายกฯอภิสิทธิ์และใน อนาคตคงจะมีนักการเมืองอีกมากที่หันมาใช้สื่อสังคมเช่นเดียวกัน



Lateral Thinking Hat บันไดสู่การเป็น′นักสร้างสรรค์′

ดร.เอ็ด เวิร์ด เดอ โบโน ผู้คิดค้นระบบความคิดสร้างสรรค์ Lateral  Thinking Hat และผู้บุกเบิกหลักสูตรพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ใน ประเทศไทยได้เดินทางมาบรรยายให้กับพนักงานในบริษัทไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เราคัดบางส่วนที่เป็นประโยชน์มานำเสนอ   


ดร.เอ็ด เวิร์ดกล่าวถึงธรรมชาติของสมองคนเราว่า มีหน้าที่สำคัญคือ การเก็บข้อมูล ทำให้คนเรามีแนวโน้มชอบทำอะไรซ้ำเดิม คิดอะไรซ้ำเดิม คิดอะไรที่แตกต่างจากเดิมไม่ค่อยได้ แต่คนที่ประสบความสำเร็จหรือคิดค้นอะไรใหม่ ๆ ได้นั้นจะต้องมีเครื่องมือการคิดที่เรียกว่า Lateral Thinking ที่สามารถทำให้เรามีการคิดสร้างสรรค์ได้ในเวลารวดเร็ว 


โดย เทคนิคการคิดแบบ Lateral Thinking นั้น ดร.เอ็ดเวิร์ดกล่าวถึง 4ขั้นตอน คือ หนึ่ง การทำงานที่แตกต่างจากรูปแบบเดิม ๆ พาตัวเองออกมาจากสิ่งที่เราเคยชินอยู่จนมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรให้เปลี่ยน แปลง

ประการต่อมาคือ การตั้งโจทย์ให้แตกต่างจากสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น ถ้าพูดถึง ไอศกรีม สิ่งที่เป็นคุณสมบัติหลักก็คือ ความเย็น ดังนั้นการตั้งโจทย์ก็คือต้องบอกว่า ไอศกรีมมันร้อน เป็นต้น เพื่อที่จะแตกแนวคิดที่แตกต่างไปจากเดิม

ประการที่สาม คือคิดแบบหนึ่งคอนเซ็ปต์ มีหลากหลายไอเดีย และครอบคลุมมากที่สุด และสุดท้ายคือ การสุ่มคำ เป็นวิธีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จากเรื่องใหม่ ๆ เช่น ถ้าต้องการดีไซน์ท่าออกกำลังกาย   ใหม่ ๆ ก็สามารถใช้วิธีการสุ่มคำแล้วแตกความคิดจากคำคำนั้น สมมุติคำที่เราคิดได้คือ มะม่วง ก็ใช้มะม่วงเป็นคอนเซ็ปต์ในการคิด จากนั้นแตกไอเดียออกมาให้ได้  มากที่สุด ก็จะทำให้ได้ไอเดียใหม่ ๆ ออกมา

กล่าวโดยสรุป การตัดสินใจอย่างมีคุณภาพเป็นการใช้ปัญญามากกว่า อารมณ์ และต้องมั่นใจได้ว่าผลของการตัดสินใจนั้นออกมาทางบวกและสร้างสรรค์

และท้ายที่สุดเครื่องมือต่อมาที่จำเป็นต้องคิดค้นเพื่อลดความขัดแย้ง และก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ คือเทคนิคการคิดอย่างเป็นระบบ ที่เรียกว่า SIX  Thinking Hats โดยวิธีการนี้ประกอบไปด้วยหมวกต่าง ๆ คือ หมวกสีขาว (White Hat)  เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ หรือนั่นก็คือข้อมูลดิบที่ไม่มีการปรุงแต่งใส่ข้อคิดเห็น เป็นการคิดเฉพาะด้านข้อมูลเท่านั้น เช่น เรามีข้อมูลอะไรอยู่ในมือบ้าง, เรายังขาดข้อมูลอะไรบ้าง

หมวกสีแดง (Red Hat) ตัวแทนของความรู้สึก ให้ทุกคนบอกความรู้สึกออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเหตุผล เป็นช่วงเวลาของการแสดงความรู้สึกล้วน ๆ เช่น รัก ชอบ ไม่ชอบ ชื่นชม กังวล

หมวกสีเหลือง (Yellow Hat) แทนความหมายของดวงอาทิตย์ โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่เราจะได้รับ สิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด เป็นการมองส่วนที่เป็นประโยชน์ 95 เปอร์เซ็นต์ เช่น เศรษฐกิจซบเซาเป็นโอกาสดีที่ผู้บริหารจะได้มีเวลาสำหรับไปเยี่ยมเยียนลูกค้า เป็นต้น

หมวกสีดำ (Black Hat) เป็นตัวแทนของความกังวล วาดระแวง พูดถึงผลเสีย โทษและด้านลบทั้งหมด เป็นการเช็กข้อบกพร่อง 5 เปอร์เซ็นต์ล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความรอบคอบ แต่ต้องระวังไม่ให้มากเกินไป และควรใช้ตามความเหมาะสมเท่านั้น

หมวกสีเขียว (Green Hat) เปรียบเสมือนยอดอ่อนของต้นไม้ ใบหญ้าตัวแทนของแนวคิดที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหา เป็นการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างทางเลือกเพิ่มเติม

หมวกสีน้ำเงิน (Blue Hat) ตัวแทนของท้องฟ้าที่ครอบคลุมทุกสิ่ง และ เป็นตัวกำหนดเงื่อนไข ขั้นตอน รูปแบบทุก ๆ ด้าน เป็นการคิดที่ควบคุมขั้นตอนการคิดทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการคิด และได้ข้อสรุป เช่น วัตถุประสงค์ในการประชุมครั้งนี้คือ…ขั้นต่อไปขอให้ทุกคนช่วยกันคิดหาหมวก เขียว…ขอให้ช่วยกันสรุปการหารือกันครั้งนี้

การคิดแบบ SIX Thinking Hats เป็นการแยกแยะการคิดออกเป็น 6 ด้าน เวลาคิดจะคิดทีละด้าน ทำให้เกิดการคิดอย่างมีคุณภาพ คิดได้รอบคอบ ครบถ้วน สามารถตัดสินใจได้อย่างรัดกุม ไม่หลุดหรือหลงลืมบางประเด็น เป็นระบบการคิดที่ ประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์   ไม่ว่าจะหน่วยงาน องค์กร บริษัท รวมถึงบุคคลต่าง ๆ หากสามารถนำเครื่องมือที่กล่าวมาใช้เพื่อสร้างระบบการคิด ก็จะสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ขณะเดียวกันหากขยายกว้างขึ้นสู่ระบบเศรษฐกิจก็จะกลายเป็นระบบเศรษฐกิจสร้าง สรรค์ได้ในที่สุด

กลเม็ดเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่

หลายคนยึดเอาวันเปลี่ยนแปลงปี ลาก่อนปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่นี้ เป็นเวลาที่จะเริ่มต้นทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่าง

หนึ่งในสิ่งที่หลายคนมุ่งหวังนั้นคือ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง

หากการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นไม่ใช่เป็นแค่เปลี่ยนเสื้อผ้า หน้า ผมเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแปลงจากภายในออกสู่ภายนอก ทั้งจิตใจ ความคิด ทัศนคติ ความตั้งใจ ความมุ่งหวัง

สถาบันเดล คาร์เนกี ประเทศไทย ผู้นำด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มีเทคนิคดี ๆ ที่มาช่วยแนะนำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ ง่ายแค่พลิกความคิด เริ่มจาก “ภายใน” คือ

- รู้จักคิดบวก
คิดบวก ย่อมได้บวก แนวคิดนี้ไม่มีล้าสมัย โดยส่วนใหญ่คนคิดอย่างไรมักจะแสดงออกหรือมีพฤติกรรมไปตามอย่างที่คิด การคิดบวกจึงเป็นการมองสิ่งดีในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน เหตุการณ์ สิ่งต่าง ๆ รวมถึงโอกาสดี ๆ ท่ามกลางวิกฤต พึงจำไว้ว่า คนที่มองโลกในแง่ดีมักมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นเสมอ

- เปิดใจรับสิ่งใหม่
การเปิดใจนี้เป็นการยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร ความคิดเห็น กิจกรรม ประสบการณ์ แม้กระทั่งเพื่อนใหม่ ๆ การเปิดรับนี้ต้องรับอย่างใจใส ไม่มีอคติใด ๆ บางทีสิ่งใหม่ ๆ ที่ได้รับมานี้อาจพาโอกาสดี ๆ มาให้ก็เป็นได้

- อย่าจมอยู่กับอดีต จงอยู่กับปัจจุบัน
เลิกเสียดายหรือคร่ำครวญกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอดีตอันรุ่งเรือง หรือจะรุ่งริ่งก็ตาม เพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตได้ ยิ่งไปจมอยู่กับคำถามเก่า ๆ ทำไมทำแบบนั้น ถ้าไม่ทำแบบนั้นจะเป็นอย่างไร หรือทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ ถ้าเป็นอีกแบบจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้เกิดได้กับทุกคน แต่กับการที่ยังวิ่งวนอยู่ในอดีต ลุ่มหลงอยู่ในจุดนั้นก็จะยิ่งบั่นทอน ดังนั้นควรพิจารณาสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็นอย่างไร พร้อมเตรียมหาหนทางรับมือ อย่าตื่นตกใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางที่ดีควรสร้างความคุ้นเคยกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้

สิ่งควรทำคือเลิกฟุ้งซ่าน กลับมาอยู่บนโลกความเป็นจริง หากคิดถึงปัญหาให้คิดถึงว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร แล้วเตรียมใจรับสิ่งร้ายที่จะเกิดขึ้น พร้อมหาวิธีจัดการสิ่งนั้นไว้ด้วย ควรมองไปข้างหน้า หาเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ดีกว่ามานั่งเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คิดไว้ว่าสิ่งที่เราตัดสินใจหรือเลือกแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เมื่อจัดการกับภายในได้แล้ว คราวนี้ก็เป็นเรื่องของ “ภายนอก”

- ยิ้ม
รอยยิ้มเป็นจุดเริ่มต้นอะไรได้หลายอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้นปลุกพลังในตัวเองด้วยการยิ้มหน้ากระจก จากนั้นก็ลองยิ้มกับเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน สามี ภรรยา พนักงานเสิร์ฟ กระเป๋ารถเมล์ ฯลฯ ใครก็ได้ ยิ้มที่ส่งให้นั้นต้องเป็นยิ้มที่ออกมาจากใจ ไม่ได้ เสแสร้ง แรก ๆ อาจจะขวยเขินกันบ้าง แต่เมื่อทำจนชิน แล้วจะรู้ได้เลยว่า ยิ้มนี่แหละเป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพที่ลงทุนน้อยที่สุด และใครจะรู้แค่รอยยิ้มอาจช่วยเป็นกำลังใจ แบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่นก็เป็นได้

- เอาใจใส่คนอื่น
วิธีการนี้ทำได้ง่าย ๆ โดยการเริ่มต้นไถ่ถามสารทุกข์ของคนรอบข้างด้วยคำถามเบสิก ๆ อย่าง กินข้าวหรือยัง สบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ฯลฯ คำถาม ง่าย ๆ ที่สัมผัสได้ถึงความห่วงใย ยิ่งในเวลาที่มีทุกข์ด้วยแล้ว คำพูดง่าย ๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างความชื่นใจให้กับผู้รับฟังได้มาก

- สร้างความประทับใจ
วิธีการนี้เริ่มได้จากการหัดและตั้งใจจำชื่อและนามสกุลของบุคคลต่าง ๆ ที่พบเจอ เมื่อทำได้ก็ค่อย ๆ เพิ่มข้อมูลเข้าไปเรื่อย ๆ ทั้งครอบครัว ความชอบส่วนตัว อาหารการกิน สไตล์การแต่งตัว สิ่งเหล่านี้จะสร้างความประทับใจและทำให้ผู้ฟังได้รับรู้ถึงการให้เกียรติ และความใส่ใจที่มีต่อตัวเขาได้ เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ สละเวลาสักนิดจดจำชื่อและสิ่งรอบตัว รับรองได้ใจคนรอบข้างแน่นอน

- ทำให้เขาเป็นคนสำคัญ
การชื่นชมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รู้จักยกย่องผู้คน เหล่านี้เป็นเทคนิคการสร้างความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับผู้คน การปฏิบัตินี้ยึดหลักอยู่ที่ว่า “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับสิ่งที่ต้องการให้ ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน” และสิ่งเหล่านี้ต้องทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ และทำจากใจ

- เป็นผู้ฟังที่ดี
ถ้าอยากเป็นนักพูด ที่ดี ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย การเรียนรู้ในการเป็นผู้ฟังที่ดี ต้องรับฟังอย่างตั้งใจ สนใจใฝ่รู้ในสิ่งที่ผู้อื่นพูดด้วยใจจริง เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความประทับใจให้คนรอบข้างเท่านั้น อาจยังช่วยดับความโกรธของผู้อื่นได้ เพราะไม่ว่าความโมโหนั้นจะรุนแรงแค่ไหน ก็จะสามารถสงบลงได้ถ้ามีผู้รับฟังอย่างอดทนและจริงใจ และการฟังนั้นอาจทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวดี ๆ โอกาสดี ๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองก็เป็นได้

- พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจ
บทสนทนาที่ถูกใจผู้ฟังควรเลือกจากสิ่งที่อยู่รอบตัวหรือความสนใจผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมยามว่าง กีฬาที่ชอบ อาหารที่โปรด สัตว์เลี้ยงแสนรัก เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างความประทับใจและต่อยอดเรื่องราวการพูดคุยให้นานได้ยิ่ง ขึ้น

ใส่ใจสิ่งรอบตัวของผู้อื่น ความสนใจส่วนตัว กิจกรรม ยามว่าง, กีฬาที่ชอบ, อาหารที่ชอบ, สัตว์เลี้ยงตัวโปรด รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยสร้างความประทับใจและช่วยให้มีเรื่องพูดคุยกันนานยิ่งขึ้น
เทคนิคเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวช่วยที่สร้างให้เราเป็นคนใหม่ได้เท่า นั้น หากยังเป็นการเสริมเพิ่มเสน่ห์ให้เรากลายเป็นที่รักของผู้คนได้ไม่ยาก เพียงแค่รู้จักมองรอบด้าน เอาใจเขามาใส่ใจเรา แค่นี้ก็พอ

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อะไรก็ไม่เท่า…โดย ว.วชิรเมธี


ได้อะไรก็ไม่เท่า ได้คิด

เสียอะไรก็ไม่เท่า เสียสามัญสำนึก (ไม่รู้ดีรู้ชั่ว)

มีอะไรก็ไม่เท่า มีบุญ

รู้อะไรก็ไม่เท่า รู้สึกตัว (mindfulness)

เจ็บอะไรก็ไม่เท่า เจ็บใจ

หนาอะไรก็ไม่เท่า หนาทิฐิ

กลัวอะไรก็ไม่เท่า กลัวใจตัวเอง

สูงอะไรก็ไม่เท่า ใจสูง

ร้อนอะไรก็ไม่เท่า ร้อนเสน่หา

กินอะไรก็ไม่เท่า กินสินบน

จนอะไรก็ไม่เท่า จนปัญญา

บ้าอะไรก็ไม่เท่า บ้าอำนาจ

ติดอะไรก็ไม่เท่า ติดการพนัน

ขาดอะไรก็ไม่เท่า ขาดความรู้

ดูอะไรก็ไม่เท่า ดูจิต

หลงอะไรก็ไม่เท่า หลงตัวเอง

เห็นอะไรก็ไม่เท่า เห็นผิดเป็นชอบ

ตอบอะไรก็ไม่เท่า ตอบแทนบุญคุณ

ให้อะไรก็ไม่เท่า ให้ธรรมะเป็นทาน

สุขอะไรก็ไม่เท่า สุขภาพ



โดย ว.วชิรเมธี


20 คำแนะนำที่ดีที่สุดในชีวิต

กว่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ทุกๆ คนล้วนแต่เคยได้รับคำแนะนำ หรือคำสอนดีๆ จากคนแวดล้อม ทั้งพ่อแม่ เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คู่แข่ง ทั้งที่ตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม คำแนะนำเหล่านี้เป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญในชีวิตให้กับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำของต่างประเทศ และไทย

ชีวิตที่โตขึ้นมาแบบ Bill Gates “ลองทำทุกอย่างที่เราไม่เก่ง”
Bill Gates กับบิดาของเขา Bill Gates Sr. เป็น 2 พ่อลูกที่ไม่มีใครเหมือน Bill Gates สร้างหนึ่งในธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้เขาได้วางมือจากการบริหาร Microsoft ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว และเปลี่ยนไปทำอาชีพที่ 2 คือการกุศล แถมยังให้บิดา Bill Gates Sr. ในวัย 83 มาทำงานให้เขาอีกด้วย นั่นคือการเป็นประธานร่วมในการบริหารมูลนิธิเพื่อการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในโลก “Bill & Melinda Gates Foundation” ซึ่งมีมูลค่า 27,500 ล้านดอลลาร์ Bill Gates Sr. เกษียณจากบริษัทกฎหมาย Preston Gates & Ellis (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น K&L Gates) ที่มีชื่อเสียงใน Seattle มาตั้งแต่ปี 1998 ปัจจุบัน 2 พ่อลูกต่าง “สอน” ซึ่งกันและกัน ต่างจากตอนเป็นเด็ก ที่พ่อจะเป็นฝ่ายสอนเท่านั้น นิตยสาร Fortune ได้สัมภาษณ์ 2 พ่อลูกพร้อมกัน ถึงชีวิตที่โตขึ้นมาแบบ Bill Gates และคำสอนที่ดีที่สุดที่ Bill Gates เคยได้รับจากพ่อ และคนอื่นๆ อย่าง Warren Buffett และ Steve Jobs
คำสอนที่ดีที่สุดของบิล เกตส์ มาจากพ่อ และแม่ ที่มักบอกให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เก่ง และให้เล่นกีฬาหลายๆ อย่าง ซึ่งเวลานั้นเขามองว่าเป็นการทำอย่างสะเปะสะปะไร้จุดหมาย แต่สุดท้ายถึงได้พบว่า นั่นคือการเปิดโอกาสในการเป็นผู้นำ และทำให้รู้ว่ามีอีกมากมายหลายอย่างที่ตัวเขาไม่เก่ง แทนที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งที่ทำได้ดีเพียงอย่างเดียว เขาพบว่า นั่นคือคำสอนที่วิเศษมาก


คำสอนที่ดีที่สุดได้รับจาก Warren Buffett
“เข้าใจง่ายที่สุด”

ในบรรดาคำสอนดีๆ มากมายที่บิล เกตส์ ได้รับจาก Warren Buffett ที่เขาคิดว่าน่าทึ่งที่สุดคือ การทำให้ทุกอย่างเข้าใจง่าย ตารางงานของเขาดูง่ายที่สุด เวลาคุยเรื่องธุรกิจที่น่าสนใจจะลงทุน เขาจะรู้แค่ตัวเลขง่ายๆ พื้นๆ เพียงไม่กี่ตัวและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเท่านั้น ยิ่งข้อมูลยุ่งยากน้อยเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่เขาจะเลือกลงทุน ในธุรกิจที่เขารู้จักโมเดลของมันดี และสามารถทำนายได้ เป็นโมเดลธุรกิจที่จะใช้ได้ผลในระยะยาว ความสามารถในการย่อยสิ่งต่างๆ ให้ง่ายและสนใจเฉพาะสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ และข้อมูลพื้นฐานของ Warren เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก และผมคิดว่าเป็นความอัจฉริยะที่พิเศษมาก


จาก Steve Jobs
“ต้องมองแบบองค์รวม”

เขาคนประเภททุ่มเทให้กับเรื่องที่สนใจแบบบ้าคลั่ง ผมเองก็คลั่งไคล้เรื่องการบริหารจัดการในด้านวิศวกรรมให้มีคุณภาพ ส่วน Steve เขาคลั่งไคล้เรื่องการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์และการออกแบบ คอมพิวเตอร์ และนั่นคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้แก่ Apple อย่างมาก เมื่อ Steve บอกว่าทุกอย่างจะต้องมาด้วยกัน ไม่ใช่การมองแบบทีละส่วน แต่ต้องมองแบบองค์รวม นี่เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งมาก**


Jim Sinegal 73 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO Costco Wholesale
“ทำให้ดู”

สมัยที่ผมเริ่มทำงานที่ Fed Mart ซึ่งเป็นห้างขายสินค้าราคาถูกแบบ Discount Retailer ตั้งแต่ตอนอายุ 18 ผู้ก่อตั้งบริษัท Sol Price สอนบทเรียนง่ายๆ กับผมว่า ถ้าคุณมีปัญหาในการจ้างใครทำงาน เป็นเพราะตัวคุณเองที่ทำงานนั้นไม่เป็น ดังนั้น คุณต้องแสดงให้เขาดูว่าคุณทำงานนั้นอย่างไร Sol จะเก็บขยะที่ตกอยู่บนพื้นโดยไม่ใช้ให้ใครทำแทน เห็นอะไรที่ผิดที่ผิดทาง เขาจะลงมือแก้ไขด้วยตัวเอง เห็นใครทำอะไรไม่ถูก เขาจะทำให้ดูว่าที่ถูกต้องนั้นทำอย่างไร บางคนคิดว่าควรพูดแค่ครั้งเดียวก็พอ แต่ผมคิดว่าคนอื่นจะซึมซับได้ดีกว่าถ้าเราสื่อสารเดิมซ้ำๆ ทุกวัน


Lloyd Blankfein 54 ปี ประธาน และ CEO Goldman Sachs
“ให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา”

เมื่อตอนที่ฝ่ายค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผมดูแลอยู่มีปัญหาในปี 1984 ผมเข้าไปขอคำแนะนำจากเจ้านายของผม เขาถามผมว่า ผมคิดว่าบริษัทควรจะแก้ปัญหานี้ยังไง พอผมตอบไป เขาก็บอกว่า ใช้ได้ เจ้านายฉลาดมากที่ถามความคิดของผม แทนที่จะบอกให้ผมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะถ้าความคิดของผมใช้ได้จริง ผมก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ถ้ามันใช้ไม่ได้ อย่างน้อยแรงกดดันที่ผมมีก็น้อยลง เพราะเจ้านายยอมรับความคิดของผม ตอนที่ผมจะเดินออกไปจากห้อง เขาบอกให้ผมไปล้างหน้าล้างตาซะหน่อย เพราะว่าหน้าผมดูซีดๆ เรื่องนี้สอนผม 2 อย่าง หนึ่ง คุณควรฟังความเห็นลูกน้อง ก่อนที่จะบอกความเห็นของคุณ และสอง หากคุณเครียด ลูกน้องของคุณก็จะเครียดด้วย


Mort Suckerman 72 ปี
ประธาน Boston Properties, ประธานและบรรณาธิการบริหาร U.S. News and World Report
“ทำสิ่งที่คุณรัก”

อาจารย์ที่ Harvard เคยเล่าเรื่อง George Bernard Shaw ตอนที่เขาทำงานเป็นเสมียนในร้านขายของแห้งในเมือง Dublin เขาตัดสินใจให้เวลาตัวเอง 3 ปีไปทำสิ่งที่เขารัก คือเขียนบทละครในลอนดอน ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ เขาสามารถจะกลับมาเป็นเสมียนในร้านขายของแห้งเมื่อไหร่ก็ได้ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้สอนอะไร แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราควรทำในสิ่งที่เรารักจริงๆ ผมเลยตัดสินใจให้เวลาตัวเอง 3 ปีลองพยายามทำสิ่งที่ผมสนใจมาตลอด ผมชอบชีวิตในเมืองและการสร้างสิ่งใหม่ๆ นั่นคือการทำงานกับบริษัทพัฒนาที่ดิน Cabot Cabot & Forbes ในบอสตัน แล้วผมก็ชอบสื่อสารมวลชนด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำก็เพื่อจะได้ทำงานใน 2 สายงานนี้ ซึ่งมันทำให้ผมไม่เคยรู้สึกว่าต้องทำงานเลยแม้แต่เพียงวันเดียว


Tory Burch 43 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ Tory Burch
“ไว้ใจสัญชาตญาณของคุณ”

ตอนที่ฉันคิดจะเปิดบริษัทของตัวเอง มีแต่คนห้ามว่าอย่าเพิ่งเปิดเป็นร้าน แต่ให้ลองทำแบบขายส่งชิมลางดูก่อนแบบคนที่เริ่มธุรกิจแฟชั่นมักจะทำกัน แต่ Glen Senk CEO Urban Outfitters ซึ่งเป็นคนที่คอยสอนฉัน บอกให้ฉันทำตามสัญชาตญาณของตัวเองและยอมรับความเสี่ยง ฉันมีความคิดอยากจะสร้างร้านแฟชั่นที่ไม่เหมือนใคร ตอนนั้นร้านส่วนใหญ่มักจะทำเป็นแบบเรียบๆ แต่ฉันต้องการสร้างร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นห้องนั่งเล่นในบ้าน รู้สึกอบอุ่น มีสีสันและแตกต่าง ประสบการณ์ที่ฉันได้ทำงานประชาสัมพันธ์และเขียนคำโฆษณาให้กับ Ralph Lauren สอนให้ฉันรู้ถึงความสำคัญของการมองให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของบริษัท ตั้งแต่สินค้าไปจนถึงการตลาด รวมถึงรูปลักษณ์ของร้าน ฉันจึงออกแบบร้านให้ลูกค้าที่เข้ามารู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในบ้านของฉัน ฉันคิดทุกอย่างตั้งแต่เพลงที่เปิดในร้านไปจนถึงเทียนที่ใช้ โซฟาที่นั่งในร้านไปจนถึงสินค้าของฉัน ฉันทำให้ลูกค้ารู้จักตัวตนของเราได้ทันที และสามารถสร้างแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว


Scott Boras 56 ปี ผู้บริหาร Boras Corp. บริษัทผู้จัดการนักกีฬา
“ห่วงประสิทธิภาพ ไม่ใช่ห่วงชื่อเสียง”

ผมได้ว่าจ้างอาจารย์ด้านกฎหมายที่เคยสอนผมที่มหาวิทยาลัย University of the Pacific มาช่วยผมในการเจรจาสัญญาจัดการแข่งขันกีฬาครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นงานใหญ่ครั้งแรกของผมได้สำเร็จ (Boras กลายเป็นคนดังทันทีเพราะมูลค่าของสัญญานั้นสูงจนทำลายสถิติ) เมื่อเราไปเลี้ยงฉลองกัน อาจารย์เตือนผมว่า คุณจะต้องรักษาผลประโยชน์ของลูกค้าของคุณให้ดีที่สุด แล้วคนทั้งโลกจะเปลี่ยนตามคุณ แต่พวกเขาไม่ได้ทำอย่างนั้นด้วยความเต็มใจหรอกนะ
สิ่งที่อาจารย์สอนหมายความว่า ถ้าคุณทำงานได้มีประสิทธิภาพจริงๆ ล่ะก็ คนเกือบร้อยทั้งร้อยจะนินทาว่าร้ายคุณ แต่คุณจะต้องเชิดหน้า อย่าหวั่นไหว ยอมรับมัน และสนใจแค่ทำให้ลูกค้าของคุณยิ้มได้ก็พอ


Jim Rogers 66 ปี ปรมาจารย์ด้านการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
“อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า”

ผมได้รับคำสอนที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งจากคนแปลกหน้าบนเครื่องบินตอนที่ผม บินไปชิคาโก ตอนนั้นผมเพิ่งทำงานใน Wall Street ใหม่ๆ เขาแก่กว่าผมมาก อายุในราว 40 ปี เขาบอกให้ผมอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับบริษัทที่ผมสนใจ แค่อ่านรายงานประจำปีคุณก็ทำในสิ่งที่มากกว่าคน 98% ใน Wall Street ทำอยู่แล้ว ยิ่งถ้าคุณอ่านเชิงอรรถในรายงานประจำปีด้วย คุณจะทำในสิ่งที่มากกว่าคนใน Wall Street ทั้งหมดเขาทำกัน แล้วผมก็ตระหนักด้วยตัวเองว่า จะดียิ่งกว่านั้นถ้าผมอ่านรายงานประจำปีของบริษัทมากกว่าเพียง 1 ปี ผมก็จะรู้มากกว่าใครๆ การจะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ แค่ฉลาดอย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องอ่านทุกอย่างขวางหน้า ผมไม่แค่อ่านรายงานประจำปีของบริษัทที่ผมลงทุน แต่ผมยังอ่านรายงานประจำปีของบริษัทคู่แข่งของบริษัทนั้น นิตยสารด้านการค้าและทุกอย่างที่ผมจะหาได้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่แม้แต่จะทำการบ้าน แต่เมื่อผมทำมากกว่านั้น ผมก็ยิ่งรู้มากกว่าและสามารถจะเลือกลงทุนได้อย่างประสบความสำเร็จ


Mika Brzezinski 42 ปี พิธีกรร่วมรายการ Morning Joe โดย Joe Scaborough MSNBC
“ใช้ความล้มเหลวเป็นแรงผลักดัน”

ตอนที่ฉันถูกปลดออกจาก CBS News ในปี 2006 เป็นตอนที่ชีวิตตกต่ำที่สุด ฉันกำลังจะได้เป็นผู้ประกาศข่าว Sunday Evening News และผู้สื่อข่าวรายการ 60 Minutes ชีวิตกำลังจะรุ่งโรจน์ แต่แล้วเพียงชั่วพริบตาทุกอย่างก็จบสิ้น
คนที่หวังดีสอนฉันว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมองย้อนกลับมา ฉันจะพบว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ฉันยึดคำสอนนี้ไว้ในใจอย่างเหนียวแน่น และพยายามไปสัมภาษณ์งานข่าวหลายแห่งแต่ก็ล้มเหลวตลอด 1 ปี จนคิดจะหันหลังให้กับวงการ แม้ว่าจะเป็นอาชีพที่ฉันรักมาตลอดชีวิต แต่ฉันยังคงไม่ลืมคำสอนนั้น และคิดว่าต้องกลับเข้าสู่อาชีพนี้ให้ได้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงต้องกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ในวัย 40 ปีก็ตาม ฉันก็ได้ทำงานชั่วคราวที่ MSNBC และได้พบกับ Joe Scarborough ไม่นาน Joe ขอให้ฉันร่วมจัดรายการ Morning Joe ของเขา ทั้งๆ ที่ทางสถานีต้องการให้เขาใช้ผู้ประกาศหญิงอายุน้อย ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าบุคลิกของฉันอาจไม่เหมาะกับงานข่าวแบบที่ต้องอยู่ในกรอบ ซึ่งไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้ แต่ใน Morning Joe ฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองและพูดอย่างที่ฉันคิดได้


Meredith Whitney 39 ปี ผู้ก่อตั้ง Meredith Whitney Advisory Group
“ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงได้”

คำสอนที่ดีสุดมาจากคุณแม่ ท่านสอนให้ฉันตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงได้ และทำให้สำเร็จ และค่อยๆ ปรับเป้าหมายให้สูงขึ้นทีละนิด เพื่อที่จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าคุณตั้งความหวังแบบเพ้อฝัน มันจะทำให้คุณผิดหวัง


Shai Agassi 41 ปี ผู้ก่อตั้งและ CEO Better Place
“ฟังคำสอนของคนฉลาด”

ผมมีโอกาสเสนอความคิดเรื่องการขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยผ่านตัวแทน จำหน่าย หรือผ่านหน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้น ให้กับอดีตประธานาธิบดี Bill Clinton และประธานาธิบดี Shimon Peres แห่งอิสราเอล Clinton ฟังผมจนจบแล้วบอกว่า ผมกำลังแก้ปัญหาที่ถูกต้องแต่ผิดเวลา คนทั่วไปไม่ซื้อรถผ่านตัวแทนหรอก พวกเขาจะซื้อรถมือสอง เขาบอกให้ผมหาวิธีที่จะทำให้คนทั่วไปได้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าฟรีๆ โดยที่ผมยังคงสามารถทำกำไรได้ ส่วน Peres บอกผมว่า หน่วยงานรัฐไม่ลงมือทำอะไรหรอก ผู้ประกอบการคือคนที่ลงมือทำ ท่านบอกให้ผมตั้งบริษัทเอง ไม่อย่างนั้นความคิดผม ก็จะเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น “คุณมีงานที่ดีอยู่แล้ว แต่นี่เป็นงานที่ดีกว่า เพราะคุณจะได้ช่วยโลก” หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมลาออกจากงานทันที


Sukhinder Singh Cassidy 39 ปี CEO-in-residence Accel Partners
“เริ่มต้นให้ประทับใจที่สุด”

งานแรกที่ Merrill Lynch ฉันได้ทำงานกับ Henry “Hank” Michaels ผู้มีฉายาว่า “Hank the Crank” จากการที่เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งและทำงานเร็วมาก อายุเพียง 30 ต้นๆ ก็ได้เป็นถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ สิ่งที่ Henry สอนฉันคือ ทำงานให้หนักที่สุด และก้าวหน้าตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน แม้ว่าคุณจะเป็นแค่พนักงานใหม่ตัวเล็กๆ Hank บอกว่า แค่ช่วงเวลาเพียง 3-4 เดือนแรกที่คุณเริ่มทำงาน ก็สามารถจะตัดสินได้ว่าคุณจะรุ่งหรือร่วงในงานนั้น ฉันทำตามคำสอนของ Hank จนได้รับมอบหมายงานใหม่ที่ดีขึ้นเสมอ และได้โอกาสย้ายไปลอนดอน คำสอนของเขาคือกุญแจสำคัญสำหรับการเริ่มงานใหม่ๆ ทุกครั้ง เพราะคุณมีเวลาแค่ไม่กี่เดือนในการสร้างความประทับใจครั้งแรก และมีเวลาที่จำกัดในการสร้างพลังแห่งความก้าวหน้า และเริ่มสร้างแบรนด์สำหรับตัวคุณเอง


Eric Schmidt 54 ปี ประธานและ CEO Google
“หาโค้ชดีๆ”

คำสอนที่ผมนึกถึงเป็นอันแรกคือคำสอนของ John Doerr เมื่อเขาบอกให้ผมไปหาโค้ชมาสอนตัวเอง และแนะนำ Bill Campbell ให้ ในตอนแรกผมรู้สึกไม่พอใจคำแนะนำนี้ ผมเป็นถึง CEO มีประสบการณ์มากมาย ผมยังจะต้องการโค้ชไปทำไม ผมทำอะไรผิดพลาดหรือ ผมคิดว่าโค้ชจะมาสอนอะไรผมได้ ถ้าผมเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกในเรื่องนั้นๆ อยู่แล้ว แต่โค้ชไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาเก่งเหมือนนักกีฬา หน้าที่ของโค้ชคือเฝ้าดูคุณ และทำให้คุณทำดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
ในด้านธุรกิจ โค้ชคือคนที่จะมองปัญหาด้วยสายตาคนละอย่างกับคุณ และอธิบายปัญหานั้นด้วยมุมมองของเขา และช่วยคุณหาวิธีแก้ เมื่อผมพบว่าโค้ชสามารถช่วยผมได้ ผมจึงเพิ่งรู้ว่านี่เป็นคำสอนที่ดีมาก เวลาที่เราเจอความขัดแย้ง เรามักจะเลี่ยงมัน แต่ Bill จะบอกให้ผมลุกขึ้นยืนให้สูงกว่าฝ่ายตรงข้ามที่อยู่อีกด้านของโต๊ะ และเตือนผมอย่ายอมให้ความขัดแย้งนั้นมารบกวนผมได้


Lauren Zalaznick 46 ปี ผู้บริหาร Women & Lifestyle Entertainment Networks, NBC Universal
“ฟัง”

Jeff Gaspin นายคนแรกของฉันสอนฉันว่า ชีวิตในวงการทีวีจะต้องเจอกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายตั้งแต่ผู้จัดรายการ เพื่อนร่วมงาน ลูกน้องและเจ้านายของคุณ ถ้าคุณถูกวิจารณ์ซ้ำๆ ในเรื่องเดียวกัน แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วย แต่คุณจะคิดยังไงนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าคนอื่นๆ เขาคิดว่าคุณเป็นอย่างนั้น และนั่นคือความจริงสำหรับพวกเขา ตอนนั้นใครๆ ก็รู้ว่าฉันเป็นคนที่ตัดสินใจเร็วมาก ฉันมักจะพูดกับใครๆ ว่าฉันรู้แล้วเข้าใจแล้ว และไม่ต้องการรู้อะไรเพิ่มอีก Jeff เตือนฉันว่า ฉันล้ำหน้าคนอื่น 10 ก้าวอยู่แล้ว อย่าทำให้เสียไป เขาพูดถูก และฉันได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง จากคนที่ตัดสินใจเร็วกลายเป็นคนที่ใครๆ เห็นว่ารอบคอบและวิเคราะห์เก่ง คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับคนอื่นๆ แต่คุณต้องแน่ใจว่าคุณรู้ว่าทำไมคุณถึงไม่เห็นด้วยกับพวกเขา


Tiger Woods 33 ปี นักกอล์ฟมือหนึ่งของโลก
“ทำให้มันง่ายเข้าไว้”

ตอนอายุ 6-7 ขวบ เวลาผมไปเล่นกอล์ฟกับพ่อ พ่อจะบอกให้ผมเลือกจุดหมายที่ผมจะตีลูก พอผมเลือกแล้ว พ่อจะบอกให้ผมคิดวิธีที่จะตีลูกไปให้ถึงจุดนั้น พ่อไม่เคยบอกว่าผมต้องวางแขนยังไง วางเท้ายังไง หรือพยายามเปลี่ยนความคิดของผม พ่อเพียงแต่บอกให้ผมทำต่อไปและตีลูกให้สำเร็จ คำสอนของพ่อคือทำให้มันง่ายเข้าไว้ เพราะพ่อรู้ว่าเด็กอายุแค่นั้น ยังไม่สามารถจะเข้าใจความซับซ้อนของการเล่นกอล์ฟได้ สิ่งที่พ่อผมสอนคือ ถ้าคุณต้องการตีลูกไปให้ถึงจุดที่ต้องการ จงคิดหาวิธีที่จะทำให้สำเร็จ จนทุกวันนี้ เวลาที่ผมกำลังแข่งขัน ผมยังคงได้ยินคำสอนของพ่อ “เลือกจุดที่ต้องการแล้วก็ตีเลย” เวลาที่ผมกำลังแข่งขัน ผมรู้ว่าคนพากย์จะพยายามอธิบายให้เป็นทฤษฎีว่าผมเปลี่ยนแผนการเล่นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วผมเพียงแต่กำลังคิดถึงคำสอนของพ่อเท่านั้น


Julian Robertson 77 ปี ผู้ก่อตั้ง Tiger Managementt
“หยุดพูดแต่เรื่องธุรกิจ”

ผมได้คำสอนที่ดีที่สุดจากพี่สาวผมเอง เธอบอกผมหลังจากที่เรากลับจากงานเลี้ยงด้วยกันในคืนหนึ่งว่า ผมกำลังทำตัวน่าเบื่อ ไม่มีใครอยากฟังแต่เรื่องหุ้นตลอดทั้งคืนหรอก ผมไม่เชื่อเธอ แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าจริง ผมจึงเลิกพูดแต่เรื่องธุรกิจ และหาเรื่องอื่นมาคุย แล้วผมก็พบว่า หลังจากหยุดพร่ำพูดแต่เรื่องธุรกิจ และเลิกพยายามยัดเยียดความคิดของตัวเองเรื่องตลาดหุ้นใส่คนอื่นๆ คนอื่นๆ กลับสนใจขอคำแนะนำเรื่องตลาดจากผมมากขึ้น ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มอาชีพโบรกเกอร์ และการทำตามคำสอนของพี่สาวกลับทำให้ผมได้ลูกค้ามากขึ้น ก็เหมือนกับเวลาพ่อแม่สอนลูก ลูกมักจะไม่ฟัง ไม่เหมือนกับเวลาที่ลูกเป็นฝ่ายขอคำแนะนำจากพ่อแม่เอง**


ค่าของคำสอน
ธุรกิจให้คำปรึกษายังคงรุ่งแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ นี่คือราคาของบริการให้คำปรึกษาแบบต่างๆ
ค่าปรึกษา/ชม.
สามี/ภรรยา/เพื่อน ฟรี
Colette Young ภรรยาของ Larry Young CEO Dr Pepper Snapple Group เปิดบริษัทสอนให้คนที่แต่งงานแล้วรู้จักวิธีให้กำลังใจสามีหรือภรรยา
จิตแพทย์ $60- Corporate Counseling Associates โครง
$400 ให้คำปรึกษาแก่พนักงานเปิดเผยว่า ยอดคนโทรมาปรึกษาสายด่วนของโครงการเพิ่มขึ้น 15% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
คนทรง $50- คนทรงซึ่งชอบเรียกตัวเองว่า ที่ปรึกษา
$250 ผู้ใช้ญาณหยั่งรู้ เน้นให้คำปรึกษาแก่ผู้บริหารว่าควรขยายธุรกิจหรือส่งเสริมการขายหรือไม่
โค้ช $150- ช่วยในเรื่องการกำหนดและทำตามเป้าหมายที่จับ
$200 ต้องได้ เช่น ได้รับตำแหน่งใหม่ หรือต้องการเป็นนักพูดที่ดีขึ้น (Mark Suckerberg เจ้าของ Facebook ใช้โค้ชฝึกพูดคนเดียวกับ Bill Clinton)
ทนาย $200- ฝ่ายกฎหมายของบริษัทใหญ่ๆ และสำนักงานกฎ
$1,000 หมายต่างลดขนาดบริษัทกันในปีนี้ แต่คนกลับต้องการใช้บริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องล้มละลายและ Refinance หนี้บ้าน
ที่ปรึกษา $175- แหล่งให้คำปรึกษาทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด มี
$800 McKinsey เป็นเจ้าตลาดซึ่งคิดค่าปรึกษาแพงที่สุด ลูกค้ารายใหญ่บางรายยอมควักกระเป๋าให้สูง ถึงอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์ต่อปี


วิชา พูลวรลักษณ์
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน)
“Nothing Sure Sure”

เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดในชีวิตผม ซึ่งมาจากคุณพ่อ ผมจำได้และปฏิบัติตามมาโดยตลอด ท่านสอนว่าในชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่แน่นอน อย่าคิด “เผื่อ” ถ้าโอกาสมาต้องมองให้ออกว่านั่นคือโอกาส อย่ารีรอ ให้ตัดสินใจ ไม่ปล่อยให้ไหลผ่านไปเหมือนฝนตก แล้วจะกลับมาเสียใจ เสียดายทีหลังก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนการซื้อที่ดิน ถ้าเห็นว่าโลเกชั่นดี มีอนาคต ก็ซื้อเลย อย่าคิดว่ารอไปก่อน เพราะถ้าคิดอย่างนั้น เท่ากับปิดโอกาสตัวเอง คนอื่นก็คว้าไป


บุญฤทธิ์ มหามนตรี
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด
“ใหญ่แค่ไหนถ้าไม่มีคุรธรรมก็ล้มได้”

ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานทำให้บุญฤทธิ์ หัวเรือใหญ่ไลอ้อน กลั่นกรอง Best Advice ที่นำมาใช้เป็นหัวใจในการทำธุรกิจได้ว่า “ใหญ่แค่ไหนถ้าไม่มีคุณธรรมก็ล้มได้” ต่อให้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับว่าได้ดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมหรือไม่ วิกฤตเศรษฐกิจโลกก็มีบริษัทที่เป็น Big Firm ล่มสลายไป ส่วนหนึ่งก็ละเลยสังคม ดำเนินธุรกิจที่ไม่โปร่งใส ดังนั้น การทำธุรกิจจะให้ประสบความสำเร็จจะต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรม


ธนา เธียรอัจฉริยะ
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโทเทิ่ล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือ ดีแทค
“ล้มแล้วต้องลุก”

เป็นช่วงความเปลี่ยนแปลงขององค์กรเมื่อปลายปี 2008 ที่มีซีอีโอใหม่ และท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ธุรกิจต้องเผชิญกับความยากลำบาก เป็นปัญหาที่ “ธนา” บอกว่ารุมเร้าให้เขาต้องคิดหลายต่อหลายเรื่อง จังหวะหนึ่ง เขานึกถึงหนังเรื่อง “Rocky ภาคจบ” ที่ตัวเอกของเรื่อง คือ “ซิลเวสเตอร์ สตาร์โลน” สอนลูกว่า “ความเป็นแชมเปี้ยนไม่ได้ดูเมื่อตอนชนะ แต่ดูว่าล้มแล้วจะลุกขึ้นมาได้อย่างไร” เป็นประโยคที่ทำให้ “ธนา” รู้สึกว่าคนที่ล้มแล้วลุกได้ คือคนที่เป็นตัวจริง


ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล
รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพีออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น
“Today’s problem is yesterday’s solution”

ผมได้พบประโยคนี้จากหนังสือเล่มหนึ่ง และเมื่ออ่านดูแล้วก็ทำให้ผมเชื่อว่า การดำเนินชีวิตโดยที่ทำให้ทุกวันมีค่าและดีที่สุดนั้น จะทำให้อนาคตของเราดีตามไปด้วย การที่เราแก้ปัญหาแบบส่งๆ ไป หรือทำอะไรแบบขอไปทีนั้น จะทำให้อนาคตลำบากและอาจจะเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นตามมา เพราะฉะนั้นหากคุณแก้ปัญหาทุกเรื่องอย่างตั้งใจ สิ่งที่ดีจะกลับมาหาคุณเอง


กิติกร เพ็ญโรจน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฮฟเอกู๊ดดรีม จำกัด
“ต้องกล้า”

ผมได้รับคำแนะนำจาก “ฉัตรชัย ดุริยประณีต” สมาชิกวงเฉลียง เมื่อหลายปีก่อน และหลายครั้งที่ผ่านมา เมื่อต้องมีการตัดสินใจเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง ผมก็ได้นำมาใช้เสมอ คำแนะนำนั้นคือ “คนเราไม่จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และถ้าคิดว่าก้าวไปแล้วไม่ใช่ ที่สำคัญคือต้องไม่กลัวที่จะถอยออกมาโดยเร็ว”


วรรณี รัตนพล
กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินิชิเอทีฟ จำกัด
“สื่อสารให้ได้ใจความ”

ดิฉันได้รับคำแนะนำจาก “กำธร กมลวารินทิพย์” อดีตประธานกรรมการ บริษัท เอเอส แอนด์ บี ลินตาส (ประเทศไทย) จำกัด ว่า “ต้องใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนั้น พูดหรือสื่อสารให้ได้ใจความให้มากที่สุด” เพราะในอาชีพของมีเดียแพลนเนอร์ในวงการโฆษณาอาจถูกมองว่าสำคัญน้อยกว่า ครีเอทีฟ เมื่อเวลาที่เอเยนซี่ให้บริการลูกค้าครบวงจร มีเดียแพลนเนอร์จะพรีเซนต์หลังครีเอทีฟ จึงมักเหลือเวลาในการพรีเซนต์ให้ลูกค้าฟังไม่มาก ดังนั้นต้องพยายามสื่อสารให้ลูกค้าใจให้ได้ แม้จะมีเวลาสั้นก็ตาม เพื่อให้งานของเราขายได้


สมบัษร ถิระสาโรช
ผู้ก่อตั้ง บริษัทตือ จำกัด
“พนักงานคือทรัพย์สินมีค่า”

พ่อแม่สอนว่า “ให้คิดเสมอว่าพนักงานในออฟฟิศเป็น Asset ที่ดีที่สุดของบริษัท” เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เมื่อเราคิดเช่นนั้น จะทำให้เราดูแลพนักงานของเราอย่างดีที่สุด

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำคมจากขงเบ้ง (จูกัดเหลียง)


จูกัดเหลียง (อังกฤษ: Zhuge Liang; จีนตัวเต็ม: 諸葛亮; จีนตัวย่อ: 诸葛亮; พินอิน: Zhūge Liàng) หรือ ขงเบ้ง เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ฉายาขงหมิง (孔明, พินอิน: Kǒngmíng) ที่ผู้อื่นเรียกด้วยความเคารพ นอกจากนี้ยังมีฉายาอื่นเช่นมังกรหลับ (臥龍先生) หรือ (伏龍) เป็นนักการเมืองสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นของจีน หรือในสมัยหลังราชวงศ์ฮั่นหากกล่าวอ้างอิงตามประวัติศาสตร์


จูกัดเหลียงดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านการยุทธนาการของพระเจ้าเล่าปี่ ในตำแหน่งสมุหนายกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งรัฐจ๊กรวมทั้งมีความสามารถในด้านการเมือง การทูต วิชาการ วิศวกรและได้ชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นที่ยิ่งใหญ่ โดยคิดค้นหมั่นโถว ธนูไฟ โคมลอยและระบบชลประทาน



จูกัดเหลียง มีชื่อจริงว่าจูเก๋อเหลียง เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของจูเก๋อกุย ขุนนางตงฉินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จูกัดเหลียงมีพี่ชายและน้องชายอย่างละคนคือ จูกัดกิ๋นพี่ชาย เป็นที่ปรึกษาของง่อก๊กและน้องชายจูเก๋อจิ๋น จูกัดเหลียงมีอุปนิสัยและความคิดที่ฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้สรรพวิชาอย่างแตกฉานทั้งวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทูต และแม้กระทั่งไสยศาสตร์ ใจคอเยือกเย็นมีเมตตา ชอบอวดอ้างและลองดีกับผู้ที่มีนิสัยกล่าวโอ้อวดตนเอง อุดมด้วยวาทะศิลป์ ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับชาวบ้านที่เชิงเขาโงลังกั๋ง โดยช่วยเหลือชาวบ้านในการทำนาต่าง ๆ จนเป็นที่นับถือของชาวบ้าน

จูกัดเหลียงมักจะเสวนากับผู้รู้เสมอ ๆ โดยเพื่อนร่วมวงเสวนากับเขานั้นได้แก่ ชีซี หรือ ตันฮก (ชื่อตันฮกใช้ในการหลบหนี) สื่อกวงเหวียน (โจ๊ะก๋งหงวน) เมิ่งกงเวย (เบงคงอุย) และซุยเป๋ง และจูกัดเหลียงมักจะยกตัวเองเทียบกับขวันต๋งและงักเย สองยอดนักปราชญ์ยุคชุนชิวและราชวงศ์ฉิน ซึ่งเพื่อน ๆ มักแปลกใจที่จูกัดเหลียงกล้ายกตนเช่นนั้น มีแต่ชีซีและซุยเป๋งเท่านั้นที่เชื่อว่าไม่ได้เป็นการยกตนเกินเลยไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นยอดปราชญ์แห่งสามก๊กอย่างอาจารย์สุมาเต๊กโช ยังยกย่องว่าไม่เพียงแค่เปรียบได้กับขวันต๋งและงักเยเท่านั้น ยังเปรียบได้กับเจียงไทกงผู้หนุนราชวงศ์จิวและเตียงเหลียงผู้หนุนราชวงศ์ฮั่นอีกด้วย ทำให้รู้ว่านอกจากจูกัดเหลียงจะเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องแล้วยังเป็นผู้มีความจงรักภักดีเป็นอย่างมาก

จูกัดเหลียงมาเป็นที่ปรึกษาให้แก่เล่าปี่จากการได้รับคำแนะนำจากชีซี และคำกล่าวยกย่องจูกัดเหลียงและบังทองจากสุมาเต๊กโช ซึ่งถ้าเล่าปี่ได้บุคลหนึ่งในสองนี้เป็นที่ปรึกษา จะสามารถทำการใหญ่กอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ โดยเล่าปี่ต้องดั้งด้นเดินทางท่ามกลางอากาศหนาวเย็น และเข้าคำนับผิดคนที่มีท่าที่และการเจรจาที่ฉลาดเฉลียวมาตลอดเส้นทางด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นจูกัดเหลียง เล่าปี่มาหาจูกัดเหลียงด้วยใจศรัทธาถึงกระท่อมไม้ไผ่ที่เขาโงลังกั๋ง ถึง 3 ครั้ง 3 คราก็ไม่พบตัวจูกัดเหลียงแม้แต่ครั้งเดียว

จูกัดเหลียงเป็นผู้ชอบลองนิสัยของบุคคล ยิ่งเห็นเล่าปี่ศรัทธาในตนยิ่งนักจึงแกล้งลองใจเล่าปี่ด้วยการหลบออกจากบ้าน และแกล้งให้เด็กรับใช้แจ้งแก่เล่าปี่ว่าตนไม่อยู่บ้าน และครั้งสุดท้ายบอกว่าตนนอนหลับ เล่าปี่ก็ไม่ละความพยายามในความอุตสาหะที่จะเชิญตัวจูกัดเหลียงไปอยู่ด้วย เมื่อจูกัดเหลียงนอนหลับจึงมายืนสงบที่ปลายเท้าด้วยกิริยาสำรวมรอคอยจนกระทั่งจูกัดเหลียงตื่น และได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เล่าปี่เอ่ยปากเชิญจูกัดเหลียงไปอยู่ด้วยกันเพื่อกิจการบ้านเมือง จูกัดเหลียงเห็นความมานะพยายามของเล่าปี่รวมทั้งอุปนิสัยใจคอและการเป็นคนอาภัพวาสนา จึงยอมไปอยู่ด้วย ซึ่งขณะนั้นจูกัดเหลียงมีอายุได้เพียง 26 ปีเท่านั้น

เมื่อจูกัดเหลียงไปอยู่ด้วยกับเล่าปี่ ซึ่งได้รับการเอาใจใส่ดูแลและให้การเคารพนับถือเช่นอาจารย์ ทำให้จูกัดเหลียงมิได้เป็นที่ยอมรับของบรรดานายทหารจ๊กก๊ก รวมทั้งกวนอูและเตียวหุยด้วย แต่เมื่อจูกัดเหลียงได้แสดงฝีมือให้ปรากฏด้วยการทลายทัพของแฮหัวตุ้น แม่ทัพเอกของโจโฉที่เนินพกบ๋องแล้ว จูกัดเหลียงก็กลายเป็นที่นับถือและเลื่องลือถึงความสามารถอันปราดเปรื่อง