วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิทานเซน : รสชาติของเกลือ

《盐的味道》

         อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง และเนื่องจากทัศนะคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวล จิตใจไม่เป็นสุข
   
       วันหนึ่ง อาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า “รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?” 



       “เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก
   
       จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า “ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ” ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
   
       อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
       ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
       “ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
       “ไม่มี” ศิษย์ตอบ
   
       อาจารย์เซนได้ฟัจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า “ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”



       ปัญญาเซน : คนเรา หากต้องการใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีความสุข ทุกข์น้อย วิธีการคือต้องลดความทุกข์ เปิดใจให้กว้าง เมตตาต่อตนเอง อดกลั้นต่อผู้อื่น จึงจะมีชีวิตที่สุขสบาย ดำเนินชีวิตด้วยความเยือกเย็น นิ่งสงบ ไม่เร่งร้อน
   
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

มารู้จัก QR Code รหัสลับการตลาดยุคใหม่


QR Code หรือบาร์โค้ด 2 มิติ ในกรอบสี่เหลี่ยมลายเขาวงกตขาวดำ กำลังเข้ายึดทุกพื้นที่ทางการตลาดไปทั่วโลก ไล่ตั้งแต่บนป้ายโฆษณาสินค้า, ป้ายชื่อร้าน, บรรจุภัณฑ์, ป้ายราคา หรือแม้แต่บนนามบัตร 
ยิ่งขยับมาในยุคของบาร์โค้ด 3 มิติ AR (Augmented Reality) ด้วยแล้ว ทุกอย่างถูกใช้เป็นสื่อโฆษณาได้ ทั้งตัวอาคาร ถนนหนทาง ซึ่งให้ข้อมูลได้มหาศาลกว่า และประยุกต์ใช้ได้หลากหลายจนถูกมองว่าจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกในไม่ช้านี้
ปัจจุบัน QR Code นับเป็นเทรนด์ใหม่ ที่บรรดาเจ้าของสินค้าและบริการทั้งหลายนำมาใช้กันมาก แต่มีคนจำนวนไม่น้อยยังไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจว่าคืออะไร
แต่สำหรับคนที่ใช้บีบี-แบล็คเบอร์รี่จะคุ้นเคยกันดี เพราะการสแกน QR Code เป็นหนึ่งในวิธีแลกพินสำหรับใช้แชตของ สาวกบีบี
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกนิด QR Code คือพัฒนาการของบาร์โค้ดจากมิติเดียว (1D) แบบเดิมที่บรรจุข้อมูลสินค้า และบริการต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แบบแท่ง แนวตั้ง แต่ QR Code เป็น 2D หรือ 2 มิติ เพิ่มมิติในแนวนอนขึ้นมาทำให้บรรจุข้อมูลได้มากขึ้น
QR Code (Quick Respond Code) เป็นชื่อของบาร์โค้ดลักษณะพิเศษ ภายใต้การจดทะเบียนของบริษัท Denso Wave ในฐานะผู้คิดค้นเป็นรายแรกเมื่อ พ.ศ. 2537 ซึ่งอีกชื่อหนึ่งที่บริษัทผู้พัฒนารายอื่นนิยมเรียกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ก็คือ 2D Bar Code (2Dimension Bar Code) หรือบาร์โค้ด 2 มิติ ด้วยรูปร่างสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่ผ่านการเข้ารหัสดิจิตอล สามารถตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็ว ส่วนตัวโค้ดสามารถบรรจุข้อมูลสั้นๆ ไม่เยิ่นเย้อ เช่น เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลผลิตภันฑ์ Web URL ของสินค้า หรือแม้กระทั่งไฟล์เอกสารต่างๆ ได้อย่างสบาย 
ก่อนการใช้งานจะต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นสำหรับอ่าน QR Code ไว้ในตัวเครื่องก่อนจึงจะสามารถสแกนโค้ดได้ ซึ่งการใช้งาน QR Codeในประเทศญี่ปุ่นนั้นแพร่หลายมาก ในทุกๆ ด้านของการใช้ชีวิตคนเมือง และนักการตลาดในญี่ปุ่นยังใช้ QR Code เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำตลาดเวลานี้อีกด้วย
QR ย่อมาจากคำว่า Quick Response มีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมบรรจุข้อมูลต่าง ๆมีการตอบสนองรวดเร็ว ส่วนใหญ่สินค้าหรือบริการต่าง ๆ นำมาใช้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือบรรจุที่อยู่เว็บไซต์เมื่อนำกล้องบนโทรศัพท์มือถือถ่ายไปยัง QR Code ก็จะเข้าสู่เว็บได้ทันที จากเดิมการเข้าเว็บผ่านมือถือมีหลายขั้นตอน และต้องจำที่อยู่เว็บนั้น ๆ ให้ได้
QR Code ยังนำมาประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ นอกจากแสดง URL ของเว็บแล้วยังบรรจุข้อความ, เบอร์โทรศัพท์, ข้อมูลตัวอักษร รวมถึงรูปได้ด้วย
ใครอยากมี QR Code ส่วนตัวเข้าไปสร้างเองได้ผ่านเว็บ www.ais.co.th/qrcode ไม่ได้มีแต่สีขาวดำแบบเดิม แต่เลือกสี, โลโก้ และใส่ รูปตนเองลงไปก็ได้ มีให้เลือกสร้างได้ หลายรูปแบบ เช่น เป็นข้อความ เมื่อใช้ มือถือสแกนจะปรากฏข้อความที่เจ้าของ QR Code ต้องการบอก หรือรูปแบบ SMS หน้าจอจะปรากฎข้อความ SMS ที่ต้องการพร้อมส่งทันที
ถ้าเลือกสร้าง QR Code เป็น “อีเมล์” ก็จะปรากฏหน้า Compose email ขึ้นมาโดยมีแอดเดรสของผู้ส่งไว้แล้ว เจ้าของสินค้านำไปประยุกต์ใช้เพื่อรับฟีดแบ็กจากลูกค้าได้
ล่าสุดเปิดตัวบริการ “AIS QR Code Generator” ให้ลูกค้าสร้าง QR Code ของตัวเองได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ “สุวิทย์ อารยะพงศ์วิไล” ผู้บริหาร เอไอเอสบอกว่า โทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง ดิจิทัลเกือบทุกรุ่นทุกยี่ห้อรองรับการใช้งานได้ โดยเข้าไปโหลดโปรแกรม QR Code Reader ได้ที่ wap.mobilelife.co.th/qr เมื่อติดตั้ง QR Code Reader เรียบร้อยแล้ว เมื่อพบเห็น QR Code แล้วอยากรู้ว่าคืออะไรก็เปิดโปรแกรม ถ่ายรูปสัญลักษณ์ QR Code ระบบ จะแปลงสัญลักษณ์ให้เป็นข้อมูลที่อ่านได้
QR Code Reader ที่ใช้กับมือถือมี 2 ประเภท คือ แบบ real-time ใช้กล้องในโทรศัพท์ส่อง QR Code ได้ทันที และแบบ Snapshot/Capture ต้องเปิดโปรแกรมแล้วถ่ายภาพจากกล้องมือถือ ถ่าย Code ก่อน แล้วประมวล Code ออกมา
“QR Code คือเครื่องมือที่ทำให้คนใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น วันนี้มีเจ้าของสินค้านำไปประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ ข้อจำกัดอยู่ที่จินตนาการ คุณจะคิดไปได้ไกลแค่ไหนเท่านั้นเอง”
WiseKnow.Com : เว็บการตลาดยอดเยี่ยมที่สุดของไทย
WiseKnow.Com : The Best Marketing Knowledge Provider

เปียกยังไง ? ไม่ให้เป็นหวัด


รู้ไหมว่าอวัยวะส่วนไหนที่มีส่วนทำให้เป็นหวัดมากที่สุด ?

ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…

ใบ้ให้อีกนิด มันเป็นอวัยวะที่มีอยู่อันเดียวในร่างกาย…นั่นคือ “จมูก” นั่นเอง

เพราะในจมูกมีเยื่อบุโพรงจมูกที่อ่อนไหวง่าย โดยเฉพาะกับอุณหภูมิภายนอกภายในที่ขึ้น ๆ ลง ๆ รวมไปถึงการสลับร้อน สลับหนาว หรือเดี๋ยวเปียกเดี๋ยวแห้งก็มีผลทั้งสิ้น


ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าจะทำให้อุณหภูมิพื้นผิวของเยื่อบุโพรงจมูกลดลงจากปกติที่ 37 องศาเซลเซียส ไปอีก 1-2 องศา อันเป็นความอบอุ่นที่พอเหมาะที่จะทำให้เชื้อต่าง ๆ ทั้งไวรัสและแบคทีเรียที่แฝงกายอยู่ในโพรงจมูก แบ่งตัวเพิ่มขึ้นและไปโจมตีภูมิคุ้มกันของร่างกายจนพ่ายแพ้

ผลก็คือเยื่อบุโพรงจมูกบวม อักเสบ เป็นที่มาของอาการเป็นหวัด คัดจมูก มีน้ำมูกไหล ดีไม่ดีเชื้อดังกล่าวอาจเดินทางผ่าน ลำคอไปก่อม็อบกันที่กล่องเสียง ทำเลเหมาะที่มีอุณหภูมิเย็นกว่าช่วงลำคอ เป็นสาเหตุของอาการหวัดลงคอนั่นเอง

ในช่วงเทศกาลแห่งความสนุกสนาน สาดน้ำสงกรานต์ น.พ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท มีเทคนิคสู้หวัดมาฝาก

1.ถ้าป่วยอย่าเล่นน้ำ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ

2.ไม่เล่นน้ำในช่วงที่อากาศร้อนจัด หรือเย็นเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นเลือดขยายและหดตัวอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เป็นหวัดหรือปวดศีรษะได้

3.ในช่วงแรก ระวังอกและหลังไม่ให้เปียก เพราะเป็นส่วนที่บอบบางอาจทำให้เป็นไข้ได้ง่าย

4.ระวังไม่ให้บริเวณจมูกเปียก หรือถ้าเปียกให้รีบเช็ดให้แห้ง เป็นการสกัดการเติบโตของไวรัส

5.ถ้าใช้น้ำเย็นจัดอย่างน้ำผสมน้ำแข็งสาด จะทำให้มีโอกาสเป็นหวัดได้มากขึ้น

6.อย่าเล่นน้ำนานหรืออยู่ในผ้าเปียกนานเกินไป ถ้าเป็นเด็ก ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง

7.เลือกเสื้อผ้าที่แห้งง่าย ระบายอากาศได้ดีที่เป็นเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าป่าน ฯลฯ และเลือกเสื้อผ้าสีเข้มที่ช่วยเก็บกักความร้อนได้ดี

8.เมื่อเล่นเสร็จหรือตัวเปียก ควรรีบเช็ดตัว ผม และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แห้งและอบอุ่นทันที

9.ถ้ารองเท้าและถุงเท้าเปียกควรเปลี่ยนด้วย

10.เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ควรนั่งในบริเวณที่อากาศถ่ายเทปกติ ไม่ควรไปนั่งในห้องแอร์ หรือนั่งจ่อพัดลมทันที เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว แล้วดื่มน้ำอุ่น

แค่นี้จมูกของคุณก็ไม่ต้องรับบทหนักแล้ว

9 เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ



1.จิบน้ำบ่อย ๆ  (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี  (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที  (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
          
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9.  ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต


จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ต (Netiquette) ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแทบทุกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในสังคม ไม่ว่าในเรื่อง ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย เสรีภาพของการพูดอ่านเขียน ความซื่อสัตย์ รวมถึงความตระหนักในเรื่องพฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในสังคมอินเทอร์เน็ต ในบทความนี้ผู้เขียนขอทบทวนเรื่อง จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “Netiquette” เพื่อให้เป็นของฝากสำหรับสมาชิกใหม่ที่เรียกกันว่า “Net Newbies” และให้เป็นของแถมเพื่อการทบทวนสำหรับนักท่องเน็ตที่เป็น “ขาประจำ”


Netiquette คืออะไร
Netiquette เป็นคำที่มาจาก “Network Etiquette” หมายถึง จรรยามารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ต หรือ Cyberspace ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยน สื่อสาร และทำกิจกรรมรวมกัน ชุมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอินเทอร์เน็ตนั้น ก็ไม่ต่างจากสังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมีกฎกติกา (Codes of Conduct) เพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการกำกับดูแลพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก


บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น
ถ้าศึกษาค้นคว้าในเรื่อง Netiquette บนเว็บ จะพบการอ้างอิงและกล่าวถึง The Core Rules of Netiquette จากหนังสือเรื่อง “Netiquette” เขียนโดย Virginia Shea ซึ่งเธอได้บัญญัติกฎกติกาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพึงตระหนักและยึดเป็นแนวปฏิบัติ 10 ข้อ ดังนี้

  • Remember the Human
กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”
  • Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันแบบออนไลน์
  • Know where you are in cyberspace
กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ
  • Respect other people’s time and bandwidth
กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด
  • Make yourself look good online
กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง
  • Share expert knowledge
กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
  • Help keep flame wars under control
กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”
  • Respect other people’s privacy
กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่น ไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น หรือ เปิดเผยข้อความอีเมลผู้อื่นโดยพละการ เป็นต้น
  • Don’t abuse your power
กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
  • Be forgiving of other people’s mistakes
กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล



ที่มา : สารานุกรม วิกิพีเดีย